คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1045/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถแทรกเตอร์กับโจทก์ แล้วผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อ มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาเช่าซื้อดังกล่าว แต่จำเลยที่ 1 เท่านั้นที่เป็นคู่สัญญาเช่าซื้อตามฟ้องกับโจทก์ จำเลยที่ 2 มิได้เป็นคู่สัญญาด้วย เช่นนี้ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 2 รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อตามฟ้องร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วย จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย และปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๓ เป็นเจ้าพนักงานตำรวจอยู่ในสังกัดและบังคับบัญชาของจำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย เมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๕ จำเลยที่ ๑ ได้เช่าซื้อรถแทรกเตอร์โจทก์แล้วผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อเกินกว่า ๒ งวด โจทก์บอกเลิกสัญญาและยึดรถแทรกเตอร์คืนจากนายวินัย ขำภาษี ลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๒ อ้างว่าเป็นผู้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ เช่าซื้อรถแทรกเตอร์ดังกล่าว ได้แจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจให้ยึดรถแทรกเตอร์ จำเลยที่ ๓ ในฐานะพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตรได้ยึดรถแทรกเตอร์ไปเก็บรักษาไว้ โจทก์ได้แสดงหลักฐานขอรถแทรกเตอร์คืน จำเลยที่ ๓ ไม่ยอมคืนให้แก่โจทก์ กลับมอบรถแทรกเตอร์คืนให้แก่นายวินัยไปโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์เป็นการจงใจทำละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันส่งมอบรถแทรกเตอร์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้คืนให้แก่โจทก์ หากไม่อาจคืนได้ให้ใช้เงินจำนวน๓๕๐,๐๐๐ บาท ให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายวันละ ๑,๕๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถหรือใช้เงินให้แก่โจทก์เสร็จ
จำเลยที่ ๑ ให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ได้ผิดสัญญาเช่าซื้อหรือทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ ๑ ชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้ว รถพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ โจทก์มีหน้าที่ต้องจัดการโอนรถให้แก่จำเลยที่ ๑ ตามสัญญาเช่าซื้อตั้งแต่วันชำระค่าเช่าซื้องวดสุดท้ายในวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๒๑ แต่ในวันที่ ๒๔ เดือนเดียวกัน โจทก์ได้ยึดรถพิพาทไปจากลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ จึงได้แจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจให้ยึดรถพิพาทไว้ ขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์จดทะเบียนโอนรถพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๑ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา และให้โจทก์ใช้ค่าเสียหาย ๑๒๐,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๒๒ ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ ๑ ยังค้างชำระค่าเช่าซื้ออีก ๔ งวดรวมเป็นเงิน ๑๔๐,๐๐๐ บาท สัญญาเช่าซื้อจึงสิ้นสุดลง โจทก์มีสิทธิยึดรถพิพาทได้ทันทีโดยไม่ต้องบอกเลิกสัญญา จำเลยที่ ๑ ไม่เสียหายและไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๑ เคลือบคลุมและขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ได้ร่วมกันชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๒ เพราะจำเลยที่ ๒ มิได้ผิดสัญญาเช่าซื้อหรือกระทำละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ เป็นผู้แจ้งและยืนยันให้จำเลยที่ ๓ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ร้อยเวรสอบสวนที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอตะพานหิน ยึดรถพิพาท จำเลยที่ ๓เห็นว่าเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง จึงได้ลงบันทึกประจำวันและรักษารถพิพาทไว้ เพื่อให้คู่กรณีไปตกลงกันต่อไป ต่อมาวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๒๖ จำเลยที่ ๓ ตรวจพบว่ารถพิพาทไม่ได้จดทะเบียนเสียภาษี จึงแจ้งข้อหาแก่นายวินัยผู้ขับขี่และครอบครองรถพิพาทฐานใช้รถพิพาทโดยไม่จดทะเบียนและเสียภาษีตามพระราชบัญญัติรถยนต์และยึดรถพิพาทไว้ ต่อมาพนักงานอัยการได้ฟ้องนายวินัยต่อศาลเพื่อให้ศาลพิพากษลงโทษแล้ว และพนักงานอัยการได้มีหนังสือถึงหัวหน้าพนักงานสอบสวนให้จัดการรถพิพาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๘๕ จำเลยที่ ๓ จึงได้คืนรถพิพาทให้แก่นายวินัยไปแล้ว อันเป็นการปฏิบัติราชการตามหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายและระเบียบแบบแผนของทางราชการ มิได้จงใจทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์เรียกค่าขาดประโยชน์เกินความจริง เพราะรถพิพาทอาจให้เช่าได้ค่าเช่าไม่เกินวันละ ๕๐๐ บาท ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ และยกฟ้องแย้งจำเลยที่ ๑ ในข้อหาละเมิดให้โจทก์ดำเนินการโอนทะเบียนรถแทรกเตอร์ยี่ห้อ ยูตานีโปรเคน (รถขุด) ทีซี ๖๐๐หมายเลขเครื่อง ดี.เอส.๗ – ๒๙๘๘๖ ตามฟ้องให้แก่จำเลยที่ ๑ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ร่วมกันส่งมอบรถแทรกเตอร์ตามฟ้องในสภาพเรียบร้อยใช้การได้แก่โจทก์ หากไม่อาจส่งมอบได้ให้ร่วมกันใช้เงิน ๓๕๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ ๑ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นรายเดือน เดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะได้ส่งมอบรถคืนหรือชำระเงินจำนวน ๓๕๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์เสร็จ ให้ยกฟ้องแย้งจำเลยที่ ๑ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับกันฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ เช่าซื้อรถแทรกเตอร์ตามฟ้องไปจากโจทก์ ตกลงผ่อนชำระค่าเช่าซื้อเป็นรายเดือน เดือนละ ๓๕,๐๐๐ บาท รวม ๘ งวดจำเลยที่ ๑ ชำระค่าเช่าซื้อไปแล้วรวม ๖ งวด คดีมีข้อวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒เฉพาะข้อหาตามสัญญาเช่าซื้อว่า จำเลยที่ ๑ ได้ชำระค่าเช่าซื้องวดที่ ๗ และที่ ๘ ให้แก่โจทก์แล้วหรือไม่ ส่วนข้อหาละเมิดยุติตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองที่ให้ยกฟ้อง และศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ ๑ ได้ชำระค่าเช่าซื้องวดที่ ๗ และที่ ๘ ให้แก่โจทก์แล้ว จำเลยที่ ๑ จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อ มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาเช่าซื้อดังที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้แต่จำเลยที่ ๑ เท่านั้นที่เป็นคู่สัญญาเช่าซื้อตามฟ้องกับโจทก์ จำเลยที่ ๒ มิได้เป็นคู่สัญญาด้วย เช่นนี้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ ๒ รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อตามฟ้องร่วมกับจำเลยที่ ๑ ด้วย จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา และปัญหาดังกล่าวนี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยที่ ๒ จะมิได้ฎีกาในปัญหาข้อนี้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share