คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3941/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติ ลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 มาตรา 67กำหนดให้นายอำเภอ ปลัดอำเภอ สมุห์บัญชี รวมเรียกว่ากรมการ อำเภอแม้มีตำแหน่งต่างกันย่อมมีหน้าที่และความรับผิดชอบ รวมกันในการที่จะให้การปกครองอำเภอนั้นเรียบร้อย กรณีจึงต้อง ถือว่าจำเลยซึ่งมีตำแหน่งปลัดอำเภอมีหน้าที่และความรับผิดชอบ ร่วมกับนายอำเภอและปลัดอำเภอคนอื่นอยู่ การกระทำของจำเลย ที่ให้คำรับรอง ท. ในการขอมีบัตรประจำตัวประชาชนทั้ง ๆที่ทราบว่า ท. เป็นบุคคลต่างด้าวจึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดย มิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ข้อบังคับของกระทรวงมหาดไทยที่ 1/2509 วางระเบียบ ใน การสอบสวนข้าราชการฝ่ายปกครองว่าต้องมีพนักงานฝ่ายปกครองร่วม กับพนักงานสอบสวนฝ่ายตำรวจด้วยนั้นก็เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ ของผู้ต้องหาให้การรับสารภาพโดยถูกพนักงานสอบสวนขู่เข็ญ แต่ คดี นี้จำเลยให้การปฏิเสธมาโดยตลอด สิทธิของจำเลยไม่ได้รับการกระทบกระเทือนแต่อย่างใด การสอบสวนจึงชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 18 แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,137, 157, 267, 268
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า การที่ นางสาวขาว(ที่ถูกนางสาวเท) ให้ถ้อยคำต่อนายสมชายในการขอมีบัตรประจำตัวประชาชน ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ร่วมให้ถ้อยคำด้วยจำเลยไม่มีความผิดฐานร่วมกันแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานและฐานร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จในเอกสารราชการ แต่การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์นำสืบส่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยทราบว่านางสาวขาว (ที่ถูกนางสาวเท) เป็นบุคคลต่างด้าว และการที่จำเลยทำการรับรองบุคคลดังกล่าวว่ามีสัญชาติไทยต่อนายสุริยาปลัดอำเภอไทรโยค ผู้สอบสวน จึงเป็นการแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการแต่การกระทำของจำเลยมีเจตนาเดียวคือเพื่อช่วยเหลือบุคคลต่างด้าวในการขอมีบัตรประจำตัวประชาชนและจำเลยได้ละเว้นการปฏิบัติตามหน้าที่โดยไม่ดำเนินการขัดขวางมิให้บุคคลต่างดาวดังกล่าวทำบัตรประจำตัวประชาชน แต่กลับให้ถ้อยคำรับรองว่านางสาวขาวหรือนางสาวเทซึ่งเป็นบุคคลต่างด้าวว่ามีสัญชาติไทยอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่อำเภอไทรโยค กรมการปกครองกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นกรรมเดียวแต่เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 โดยเห็นสมควรให้ลงโทษจำเลยสถานหนัก และพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 จำคุก 5 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 267 และ 157 อันเป็นความผิดกรรมเดียวกันผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 ส่วนกำหนดโทษให้คงเดิม แต่ลดโทษให้จำเลยหนึ่งในห้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกมีว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3แก้บทลงโทษจำเลยว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 137 และ 267 ขัดต่อกฎหมายหรือไม่เห็นว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นได้พิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดตามมาตรา 137และ 267 ด้วย หากแต่เป็นการกระทำด้วยเจตนาเดียวคือเพื่อช่วยเหลือบุคคลต่างด้าวในการขอมีบัตรประจำตัวประชาชน และจำเลยในฐานะเจ้าพนักงานได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ดำเนินการขัดขวางมิให้บุคคลต่างด้าวขอทำบัตรประจำตัวประชาชนแต่กลับให้ถ้อยคำรับรองนางสาวเทซึ่งเป็นบุคคลต่างด้าวว่ามีสัญชาติไทยอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่อำเภอไทรโยคกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นกรรมเดียว แต่เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา 90 คำพิพากษาดังกล่าวย่อมหมายความว่าจำเลยกระทำความผิดตามบทกฎหมายอื่นด้วยอันได้แก่ มาตรา 137, 267 และ 157 แต่เป็นกรรมเดียวศาลชั้นต้นจึงลงโทษตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดแต่ศาลชั้นต้นมิได้ปรับบทให้เห็นชัดเจนว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามบทบัญญัติของกฎหมายมาตราใดบ้าง โดยมิได้แก้โทษแต่อย่างใด คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่ขัดต่อกฎหมาย
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อไปมีว่า จำเลยกระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 หรือไม่ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยให้คำรับรองนางสาวเทตามเอกสารหมาย จ.9 ไป ทั้งๆที่ทราบว่านางสาวเทเป็นบุคคลต่างด้าว แต่การกระทำดังกล่าวของจำเลยจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 หรือไม่ต้องพิจารณาว่าจำเลยกระทำในตำแหน่งหน้าที่หรือไม่ จำเลยมีตำแหน่งเป็นปลัดอำเภอแต่มีอาวุโสต่ำกว่าปลัดอำเภออื่น เช่นนายรัฐพงษ์และนายสุริยา เป็นต้น จำเลยจึงไม่มีหน้าที่รักษาการแทนนายอำเภอเมื่อยังมีปลัดอำเภออาวุโสปฏิบัติหน้าที่อยู่ทั้งตามคำสั่งนายอำเภอไทรโยค เอกสารหมาย จ.4 ได้มอบหมายงานทะเบียนทั่วไปให้นายรัฐพงศ์ งานบัตรประจำตัวประชาชนให้นายสุริยา ส่วนจำเลยได้รับมอบหมายงานส่งเสริมการปกครองดังนั้น จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ ไม่ว่าจะโดยการรักษาการแทนนายอำเภอหรือโดยได้รับมอบหมายจากนายอำเภอ แต่หน้าที่ดังกล่าวก็เป็นเพียงการมอบหมายภายในเท่านั้นตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 มาตรา 67 เอกสารหมาย ป.ล.1(ศาลจังหวัดนครนายก) บัญญัติว่านายอำเภอ ปลัดอำเภอ สมุห์บัญชีซึ่งรวมเรียกว่ากรมการอำเภอแม้มีตำแหน่งต่างกันย่อมมีหน้าที่และความรับผิดชอบรวมกันในการที่จะทำให้การปกครองอำเภอนั้นเรียบร้อย” ตามบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวก็ต้องถือว่าจำเลยซึ่งมีตำแหน่งปลัดอำเภอมีหน้าที่และความรับผิดชอบร่วมกับนายอำเภอและปลัดอำเภอคนอื่นอยู่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายมีว่า การสอบสวนจำเลยกระทำไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จำเลยนำสืบว่าตามข้อบังคับที่ 1/2509 ของกระทรวงมหาดไทยเอกสารหมาย ล.6ได้วางระเบียบไว้ในการสอบสวนข้าราชการฝ่ายปกครองว่า ต้องมีพนักงานฝ่ายปกครองร่วมกับพนักงานสอบสวนฝ่ายตำรวจด้วยแต่คดีนี้พนักงานสอบสวนฝ่ายตำรวจสอบสวนโดยไม่มีพนักงานสอบสวนฝ่ายปกครองมาร่วมสอบสวนด้วยจึงเป็นการสอบสวนไม่ชอบจะเห็นได้ว่าข้อบังคับดังกล่าวนี้ถูกบัญญัติขึ้นเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้ต้องหาที่มีลักษณะพิเศษตามข้อ 13 แห่งข้อบังคับดังกล่าว เช่น กรณีที่ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพโดยถูกพนักงานสอบสวนขู่เข็ญ เป็นต้น หากการสอบสวนนั้นไม่มีพนักงานสอบสวนฝ่ายปกครองร่วมด้วย การสอบสวนนั้นย่อมไม่ชอบ รับฟังไม่ได้ว่าผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ แต่คดีนี้จำเลยให้การปฏิเสธมาโดยตลอด สิทธิของจำเลยไม่ได้รับการกระทบกระเทือนแต่อย่างใด ไม่ว่าในชั้นสอบสวนหรือชั้นพิจารณาของศาล ทั้งจำเลยก็มิได้กล่าวหาว่าการสอบสวนโดยพนักงานสอบสวนฝ่ายตำรวจดำเนินไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใดการสอบสวนจึงชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 18 แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share