คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3940/2546

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาโดยไม่รู้ว่าจำเลยไม่มีคุณสมบัติที่จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามกฎหมายนอกจากนั้นคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งจังหวัดเลยได้ตรวจคุณสมบัติของจำเลยแล้วเห็นว่าจำเลยมีคุณสมบัติครบถ้วนตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ เนื่องจากมีหนังสือรับรองของกระทรวงมหาดไทยรับรองว่าจำเลยเคยรับราชการในตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัดเลยครบ 2 ปี ด้วย เมื่อจำเลยเชื่อโดยสุจริตว่าตนมีคุณสมบัติครบถ้วนตามกฎหมายแล้ว จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาที่จะกระทำความผิดต่อกฎหมายโดยเข้าสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาโดยรู้อยู่แล้วว่าตนเป็นผู้ไม่มีสิทธิอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 100 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2541

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2542 ได้มีประกาศผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งจังหวัดเลย เรื่องการสมัครและสถานที่สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภากำหนดวันสมัครรับเลือกตั้งระหว่างวันที่ 19 ธันวาคม 2542 ถึงวันที่ 25 ธันวาคม 2542ระหว่างเวลา 8.30 นาฬิกา ถึง 16.30 นาฬิกา โจทก์เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาเขตเลือกตั้งจังหวัดเลยหมายเลข 11 เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2542 เวลากลางวันจำเลยรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา เพราะจำเลยไม่เคยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านหรือเคยรับราชการในจังหวัดเลยเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าสองปี โดยจำเลยเคยรับราชการในตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัดเลย ตั้งแต่วันที่ 9ตุลาคม 2532 ถึงวันที่ 1 ตุลาคม 2534 เป็นเวลา 1 ปี 11 เดือน 22 วัน แต่จำเลยได้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาเขตเลือกตั้งจังหวัดเลย ได้หมายเลข 5 และจำเลยได้แจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งจังหวัดเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายว่าจำเลยเคยรับราชการในจังหวัดเลยที่สมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าสองปี และให้ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งจังหวัดเลยจดข้อความอันเป็นเท็จลงในใบสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาอันเป็นเอกสารราชการ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เหตุเกิดที่ตำบลกุดป่อง อำเภอเมืองจังหวัดเลย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2541 มาตรา 100 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 267, 90 กับให้สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยมีกำหนดสิบปี

ในชั้นตรวจรับคำฟ้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ในความผิดที่โจทก์ฟ้อง โจทก์มิใช่ผู้เสียหายตามกฎหมายดังกล่าว จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ให้ยกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องเฉพาะความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2541 มาตรา 100 แล้วดำเนินการต่อไป นอกจากที่แก้ไขให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ววินิจฉัยว่า คดีโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์ชั้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คดีโจทก์มีมูลในความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาพ.ศ. 2541 มาตรา 100 หรือไม่ เห็นว่า โจทก์นำสืบพยานหลักฐานในชั้นไต่สวนมูลฟ้องได้ความแต่เพียงว่า เดิมจำเลยดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการกองงานความมั่นคง กรมการปกครอง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2527 ต่อมากระทรวงมหาดไทยได้มีคำสั่งที่475/2532 ลงวันที่ 21 กันยายน 2532 ให้จำเลยไปรักษาการในตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัดเลยตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2532 และมีคำสั่งที่ 519/2532 ลงวันที่ 11 ตุลาคม2532 ให้รับโอนเลื่อนและแต่งตั้งให้จำเลยดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัดเลยตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2532 โดยในวันเดียวกันนั้นเอง ได้มีคำสั่งให้จำเลยพ้นจากตำแหน่งและอัตราเงินเดือนทางสังกัดกรมการปกครองไปสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยกับมีคำสั่งที่ 682/2534 ให้จำเลยไปดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรีตั้งแต่วันที่ 1ตุลาคม 2534 ตามเอกสารหมาย จ.6 จ.8 ถึง จ.10 เท่านั้น โจทก์มิได้นำสืบข้อเท็จจริงให้ปรากฏเลยว่าจำเลยได้เข้าสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาโดยจำเลยได้รู้อยู่แล้วว่าจำเลยไม่มีคุณสมบัติที่จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามกฎหมายแต่ประการใดนอกจากนั้นยังได้ความจากตัวโจทก์ นายไพรัตน์ พจน์ชนะชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดเลยนายอวบ มกรเวส อัยการจังหวัดเลย และนายวราพงศ์ จิระวงศ์ประภา ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งจังหวัดเลยว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งจังหวัดเลยได้ตรวจคุณสมบัติของจำเลยแล้วมีความเห็นว่า จำเลยมีคุณสมบัติครบถ้วนตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ เนื่องจากมีหนังสือรับรองของกระทรวงมหาดไทยตามเอกสารหมาย จ.4 รับรองว่า จำเลยเคยรับราชการในตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัดเลย ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2532 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2534 ซึ่งครบกำหนดระยะเวลา 2 ปี อีกด้วย พฤติการณ์การที่จำเลยเข้ารับสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาโดยอาศัยหนังสือรับรองดังกล่าวจึงน่าเชื่อว่าจำเลยเข้าใจหรือเชื่อโดยสุจริตว่าจำเลยรับราชการในตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัดเลยครบกำหนด 2 ปีแล้ว อันเป็นการเชื่อหรือเข้าใจโดยสุจริตว่าตนเองมีคุณสมบัติครบถ้วนตามกฎหมายแล้ว จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาที่จะกระทำความผิดต่อกฎหมายโดยเข้าสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาโดยรู้แล้วว่าตนเป็นผู้ไม่มีสิทธิอันเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 100 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2541คดีของโจทก์จึงไม่มีมูล ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล และคดีไม่จำเป็นวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลยอีกต่อไป”

พิพากษายืน

Share