คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 459/2546

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีเดิมโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) สำหรับที่ดินพิพาท เป็นการกล่าวอ้างว่าเจ้าพนักงานที่ดินออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินของรัฐโดยมิชอบ ในคดีดังกล่าวศาลฎีกาพิพากษาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เพราะโจทก์ครอบครองที่ดินหลังจากประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับแล้ว โจทก์ไม่ได้สิทธิครอบครองโดยชอบตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 ประเด็นแห่งคดีที่ศาลวินิจฉัยจึงมีเพียงประเด็นเดียวว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทหรือไม่ ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ห้ามจำเลยทั้งสามซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ในคดีก่อนและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท ซึ่งเป็นการฟ้องขอให้ปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองตาม ป.พ.พ. บรรพ 4 ลักษณะ 3 ว่าด้วยการครอบครอง ประเด็นแห่งคดีที่ต้องวินิจฉัยในคดีนี้จึงมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้ห้ามจำเลยทั้งสามและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทได้หรือไม่ ซึ่งเป็นคนละประเด็นกับคดีก่อน ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาท ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๕๔๘ ตำบลกลางดง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสามและบริวารเกี่ยวข้อง
จำเลยทั้งสามให้การและฟ้องแย้งว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๔๐๒/๒๕๓๕ ของศาลชั้นต้น โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินของรัฐโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๙ ขอให้ยกฟ้องโจทก์และพิพากษาห้ามโจทก์กับบริวารรบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยทั้งสาม และให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยทั้งสามวันละ ๑,๔๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะเลิกรบกวนการครอบครองของจำเลยทั้งสาม
ระหว่างพิจารณา จำเลยทั้งสามขอถอนฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๕๔๘ ตำบลกลางดง (พญาเย็น) อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ห้ามจำเลยทั้งสามและบริวารเกี่ยวข้อง ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๑๐,๐๐๐ บาท
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ ๑๐,๐๐๐ บาท แทนโจทก์
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสามหรือไม่ ที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ ๔๐๒/๒๕๓๕ ของศาลชั้นต้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า ในคดีหมายเลขแดงที่ ๔๐๒/๒๕๓๔ ของศาลชั้นต้น โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าไม่มีบุคคลเป็นเจ้าของ โจทก์ น้องชายโจทก์และบิดาโจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ปี ๒๕๐๒ ต่อมามีบุคคลภายนอกบุกรุกเข้ามาในที่ดินพิพาท โจทก์จึงตรวจสอบที่สำนักงานที่ดินอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา จึงทราบว่าจำเลยที่ ๑ (นายวิสัน) ไปยื่นคำขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ โดยจำเลยที่ ๑ แจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอปากช่องว่าเป็นฝ่ายครอบครองที่ดินพิพาทโดยซื้อมาจากนายเต้ง บุญชำนาญ เมื่อ ๑๕ ปีมาแล้วและครอบครองทำประโยชน์ซึ่งความจริงแล้วจำเลยที่ ๑ ไม่เคยครอบครองที่ดินพิพาท เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อจึงออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้จำเลยที่ ๑ ต่อมาจำเลยที่ ๑ โอนที่ดินขายให้พันโทสริน ซึ่งพันโทสรินก็ทราบอยู่แล้วว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ครอบครองที่ดินพิพาทมาก่อน เมื่อพันโทสรินซื้อที่ดินพิพาทก็ไม่ได้โต้แย้งการครอบครองที่ดินของโจทก์และโจทก์ก็ไม่ทราบว่ามีการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาเมื่อปี ๒๕๓๓ พันโทสรินจดทะเบียนยกที่ดินให้แก่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ซึ่งจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ก็ทราบดีว่าการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) สำหรับที่ดินพิพาทเป็นไปโดยมิชอบและจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ก็ไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินพิพาท ขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) สำหรับที่ดินพิพาท จากคำฟ้องดังกล่าวเป็นการกล่าวอ้างว่าเจ้าพนักงานที่ดินออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินของรัฐโดยมิชอบ ในคดีดังกล่าวศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ และศาลฎีกาพิพากษาในทำนองเดียวกันว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เพราะโจทก์ครอบครองที่ดินเมื่อปี ๒๕๐๒ ซึ่งเป็นระยะเวลาหลังจากประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับแล้ว โจทก์จึงไม่ได้สิทธิครอบครองโดยชอบตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๙ ดังนั้นประเด็นแห่งคดีที่ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ และศาลฎีกาได้วินิจฉัยจึงมีเพียงประเด็นเดียวว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทหรือไม่ ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ห้ามจำเลยทั้งสามซึ่งเป็นจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ในคดีหมายเลขแดงที่ ๔๐๒/๒๕๓๕ ของศาลชั้นต้นและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท ซึ่งเป็นการฟ้องขอให้ปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ ลักษณะ ๓ ว่าด้วยการครอบครอง ประเด็นแห่งคดีที่ต้องวินิจฉัยในคดีนี้จึงมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้ห้ามจำเลยทั้งสามและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทได้หรือไม่ ซึ่งเป็นคนละประเด็นกับคดีหมายเลขแดงที่ ๔๐๒/๒๕๓๕ ของศาลชั้นต้น ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘ และโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสาม…
พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา ๑๐,๐๐๐ บาท แทนโจทก์.

Share