แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ปัญหาว่าโทษครั้งก่อนที่จำเลยกระทำผิดมาจะเข้าเกณฑ์ที่ศาลจะใช้ดุลยพินิจวางโทษจำเลยฐานมีสันดานเป็นผู้ร้ายตาม พ.ร.บ.กักกันฯ พ.ศ.2479 หรือไม่นั้น ถือว่าเป็นปัญหาข้อ ก.ม.ฎีกาได้
ตาม พ.ร.บ.กักกัน ฯ พ.ศ.2479 ม.8 ว่า บุคคลที่มีสันดานเป็นผู้ร้ายจะต้องเป็นบุคคลที่เคยได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษามาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ครั้ง ๆ คำว่า “ครั้ง ” ตามมาตรานี้หมายความว่าเคยได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษามาแล้วซึ่งเรียกได้ว่าครั้งที่ 1 ยังขืนไปกระทำความผิดขึ้นใหม่และเมื่อศาลพิพากษาลงโทษสำหรับความผิดครั้งใหม่นี้จึงเป็นครั้งที่ 2 หาใช่เรื่องบุคคลที่จะทำความผิดมาแล้วหลายเรื่องหรือกระทำความผิดหลายกะทงและถูกแยกฟ้องเป็นหลายสำนวนไม่ ในกรณีเช่นนี้เมื่อศาลพิพากษาลงโทษตาม+เรียกได้ว่ากระทำความผิดเพียงครั้งเดียวเพราะยังมิได้กระทำความผิดอันใดขึ้นใหม่หลังจากที่ได้รับโทษตามคำพิพากษาของศาลมาแล้วจะเอาโทษสำหรับความผิดในเรื่องก่อน ๆ มาวินิจฉัยเป็นหลายครั้งไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์และว่าจำเลยเคยต้องโทษมาจำคุกมาแล้วตามใบแดงแจ้งโทษท้ายฟ้องพ้นโทษไปยังไม่เกิน ๕ ปี ไม่มีความเข็ดหลาบ กลับมากระทำผิดฐานลักทรัพย์ในคดีเรื่องนี้อันเป็นเหตุร้ายซึ่งโจทก์ขอให้ลงโทษและเพิ่มโทษตาม ก.ม.อาญา ม.๒๘๘,๒๙๓,๖๓,๗๒ และ พ.ร.บ.กักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย พ.ศ.๒๔๗๙ ม.๔,๘,๙
จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย ๓ ปี ตาม ก.ม.อาญา ม.๒๙๓ เพิ่มโทษตาม ม.๗๒ อีก ๑ ใน ๓ เป็น ๔ ปี ลดฐานปราณีตาม ม.๕๙ กึ่งหนึ่งคงเหลือ ๒ ปี และเมื่อพ้นโทษแล้วให้ส่งตัวไปกักกันอีก ๓ ปี ตาม พ.ร.บ.กักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย พ.ศ.๒๔๗๙ ม.๘,๙ ของกลางคืนเจ้าทรัพย์
จำเลยอุทธรณ์ขอความกรุณาในเรื่องกำหนดโทษและว่าจำเลยเพื่อถูกศาลพิพากษาจำคุกครั้งเดียวจะเพิ่มโทษกักกันแก่จำเลยไม่ได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาต่อมาในปัญหาเรื่องกักกันซึ่งศาลฎีกาสั่งให้รับฎีกาของจำเลยเพราะเป็นปัญหาข้อก.ม.
ศาลฎีกาฟังคำแถลงความเห็นของจำเลยและตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วเห็นว่า พ.ร.บ.กักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย พ.ศ.๒๔๗๙ มุ่งที่จะปราบปรามบุคคลผู้มีสันดานเป็นผู้ร้ายและโดยเฉพาะ ม.๘ จะต้องเป็นบุคคลที่เคยได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษามาแล้วไม่น้อยกว่า ๒ ครั้ง ซึ่งไม่ใช่ความผิดฐานประมาทหรือลหุโทษ แล้วไม่มีความหลาบจำยังขืนกระทำผิดอาญาอันเป็นเหตุร้ายขึ้นอีก คำว่า “ครั้ง” ตามมาตรานี้หมายความว่า เคยได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษามาแล้วซึ่งเรียกได้ว่าครั้งที่ ๑ ยังขืนไปกระทำความผิดขึ้นใหม่อีก และเมื่อศาลพิพากษาลงโทษสำหรับความผิดครั้งใหม่นี้จึงเป็นครั้งที่ ๒ หาใช่เรื่องที่ศาลพิพากษาลงโทษบุคคลที่กระทำความผิดมาแล้วหลายเรื่อง หรือกระทำความผิดหลายกระทงและถูกฟ้องแยกเป็นหลายสำนวนไม่ ในกรณีเช่นนี้เรียกได้เพียงครั้งเดียว เพราะยังมิได้กระทำความผิดอันใดขึ้นใหม่หลังจากที่ได้รับโทษตามคำพิพากษาของศาลมาแล้วจะเอาโทษสำหรับความผิดในเรื่องก่อน ๆ มาวินิจฉัยเป็นหลายครั้งไม่ได้
กรณีของจำเลยนี้ปรากฎตามคดีเรื่องก่อน ๆ คือสำนวนของศาลอาญาคดีแดงที่ ๗๖๒,๗๖๓/๒๔๙๗ และคดีแดงที่ ๑๑๑๘/๒๔๙๗ รวมสามสำนวนว่าจำเลยถูกจับเมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๔๙๗ เวลาประมาณ ๕ นาฬิกา โดยข้อหาว่าลักทรัพย์รวม๓ รายในคืนวันเดียวกันนั้น ๒ ราย แรกศาลพิพากษารวมกันตามสำนวนคดีแดงที่ ๗๖๒,๗๖๓/๒๔๙๗ ว่าจำเลยกระทำผิดฐานรับของโจรอันเป็นกรรมเดียวกันตาม ก.ม.อาญา ม.๓๒๑ ให้ลงโทษจำคุก ๖ เดือนลดกึ่งตาม ม.๕๙ เหลือ ๓ เดือน อีกรายหนึ่งศาลพิพากษาตามสำนวนคดีแดงที่ ๑๑๑๘/๒๔๙๗ ว่าจำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์ตาม ก.ม.อาญา ม.๒๙๓ ข้อ ๑,๑๑ และ ม.๖๑ ให้จำคุก ๑ ปี ลดตาม ม.๕๙ เหลือ ๖ เดือน จำเลยพ้นโทษเมื่อวันที่ ๕ มกราคม ๒๔๙๘ และมากระทำผิดในคดีเรื่องนี้ขึ้นอีก ดังนี้ศาลฎีกาเห็นว่าสำหรับการต้องโทษของจำเลยตามสำนวน ๓ เรื่องก่อนตามความหมายของ พ.ร.บ.กักกัน ฯ พ.ศ.๒๔๗๙ ม.๘ ดังได้วินิจฉัยมาแล้วข้างต้น จำเลยจึงได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษามาแล้วเพียงครั้งเดียว เพิ่งจะได้รับโทษจำคุกเป็นครั้งที่ ๒ ในคดีเรื่องนี้เท่านั้น กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่ง ม.๘ ดังกล่าวแล้ว จะเพิ่มโทษกักกันแก่จำเลยยังไม่ได้
เหตุฉะนี้ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยให้ยกข้อหาของโจทก์ในเรื่องกักกันนั้นเสีย