แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เจ้าพนักงานได้ออกคำสั่งเรียกให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งเอกสารหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 นำหนังสือรับรองการทำประโยชน์นั้นไปมอบให้แก่จำเลยที่ 2 ยึดถือไว้เมื่อตอนไปกู้ยืมเงินจากจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเวลาก่อนจะได้รับคำสั่งเรียกเอกสารจากเจ้าพนักงาน เอกสารดังกล่าวมิได้อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จะคืนเอกสารนั้นให้ก็ต่อเมื่อจำเลยที่ 1 ชำระหนี้แล้ว ขณะได้รับหมายเรียก จำเลยที่ 1 ยังมิได้ชำระหนี้แก่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 ก็ได้ไปพบเจ้าพนักงานชี้แจงให้ทราบถึงเหตุที่ไม่ส่งเอกสารว่า หากส่งให้แก่เจ้าพนักงานแล้ว เมื่อจำเลยที่ 1 นำเงินมาชำระหนี้ตามสัญญากู้ก็จะไม่มีเอกสารคืนให้แก่จำเลยที่ 1 แสดงว่าจำเลยทั้งสองไม่มีเจตนาฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงาน การที่จำเลยทั้งสองไม่ส่งเอกสารหนังสือรับรอบการทำประโยชน์ตามคำสั่งเรียก จึงไม่มีความผิด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นายสาย รอดอภิวงษ์ ปลัดอำเภอโท รักษาราชการแทนนายอำเภอบ้านนา ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินในท้องที่อำเภอบ้านนาได้ออกคำสั่งเรียกให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งเอกสารหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) ที่ดินเลขที่ ๗๕ ตำบลป่าขะ อำเภอบ้านนา ซึ่งจำเลยที่ ๑ มีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินและจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ครอบครองหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) ดังกล่าวไว้เนื่องจากจำเลยที่ ๑ ได้นำไปให้จำเลยที่ ๒ ยึดถือเพื่อเป็นประกันการกู้ยืมเงินให้แก่ทางอำเภอบ้านนา เพื่อทำการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม จำเลยทั้งสองทราบคำสั่งนั้นแล้ว บังอาจร่วมกันฝ่าฝืนไม่ส่งเอกสารนั้นให้แก่นายอำเภอบ้านนา อันเป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายอำเภอบ้านนา ซึ่งสั่งการตามอำนาจหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย โดยจำเลยทั้งสองไม่มีเหตุอันสมควร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๗๔, ๑๐๙ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓
จำเลยทั้งสองให้การว่าไม่มีเจตนาฝ่าฝืนคำสั่งของนายอำเภอบ้านนา
วันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองไม่มีเจตนาฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงาน พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไป และพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ลงวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๑๘ ว่า โจทก์ขอสืบพยานบุคคลเพื่อประกอบรับรองเอกสารรวม ๖ ฉบับเท่านั้น คือ หมายเรียกเอกสารจากจำเลยทั้งสอง ๒ ฉบับ บันทึกถ้อยคำที่จำเลยทั้งสองให้ไว้ต่อนายอำเภอบ้านนา ๒ ฉบับ บันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสอง ๒ ฉบับ โดยมิได้ขอสืบพยานบุคคลในข้ออื่นตามฟ้องอีก เท่ากับว่าโจทก์สละสิทธิไม่ติดใจสืบพยานบุคคลนอกเหนือไปจากข้อเท็จจริงตามเอกสารนั้น เอกสารดังกล่าวจำเลยทั้งสองก็ยอมรับว่าเป็นเอกสารที่จำเลยที่ ๒ ยึดถือไว้เมื่อตอนไปกู้ยืมเงินจากจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่จะได้รับคำสั่งเรียกเอกสารจากเจ้าพนักงานเอกสารดังกล่าวมิได้อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ จะคืนเอกสารนั้นให้ก็ต่อเมื่อจำเลยที่ ๑ ชำระหนี้แล้ว ขณะได้รับหมายเรียก จำเลยที่ ๑ ยังมิได้ชำระหนี้แก่จำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๒ ก็ได้ไปพบเจ้าพนักงานชี้แจงให้ทราบถึงเหตุที่ไม่ส่งเอกสารเนื่องจากจำเลยที่ ๑ นำเอกสารนั้นมาให้จำเลยที่ ๒ ยึดถือประกันเงินกู้จำนวน ๒,๕๐๐ บาท หากส่งให้แก่เจ้าพนักงานแล้ว เมื่อจำเลยที่ ๑ นำเงินมาชำระหนี้ตามสัญญากู้แล้วก็จะไม่มีเอกสารคืนให้แก่จำเลยที่ ๑ ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว แสดงว่าจำเลยทั้งสองไม่มีเจตนาฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงาน ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานบุคคลของโจทก์และพิพากษายกฟ้อง เป็นการชอบแล้ว
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องโจทก์