คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3935/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยไม่เคยยอมรับว่าได้เสียกับมารดาโจทก์ ทั้งพยานโจทก์ที่นำสืบมายังมีข้อระแวงสงสัยและไม่มีผู้ใดรู้เห็นเหตุการณ์ว่าจำเลยได้ร่วมประเวณีกับมารดาโจทก์ในระยะเวลาที่อาจตั้งครรภ์ได้ เพียงแต่ฟังคำเล่าลือของชาวบ้านว่ามารดาโจทก์กับจำเลยได้เสียกันจนมีบุตรเท่านั้น ส่วนรายงานตรวจโลหิตที่ปรากฏว่ามารดาโจทก์โลหิตหมู่โอ จำเลยโลหิตหมู่บีโจทก์โลหิตหมู่บีสามีของมารดาโจทก์โลหิตหมู่โอบีนั้น เนื่องจากคนไทยจะมีโลหิตหมู่โอ มากที่สุด รองลงมาได้แก่หมู่บีเอและเอบี ตามลำดับ ในภาคอีสานที่เหตุคดีนี้เกิดขึ้นนั้นจะเป็นหมู่บีมากกว่าหมู่โอ เล็กน้อย ผลการตรวจโลหิตดังกล่าวจึงชี้ไม่ได้ว่าโจทก์เป็นบุตรจำเลย ฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ร่วมประเวณีกับมารดาโจทก์ในระยะเวลาที่อาจตั้งครรภ์ โจทก์จึงไม่อาจบังคับให้จำเลยรับโจทก์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างเดือนตุลาคม 2526 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2527 จำเลยได้ร่วมประเวณีกับมารดาโจทก์หลายครั้งที่จำเลยยังเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดสูงจอหอจนมารดาโจทก์ตั้งครรภ์แล้วคลอดโจทก์เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2527 หลังจากโจทก์คลอดแล้วมารดาโจทก์ได้ไปติดต่อกับจำเลยเพื่อขอให้รับโจทก์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายแต่จำเลยไม่ยินยอม ขอให้พิพากษาว่าโจทก์เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์มิได้เป็นบุตรที่เกิดจากจำเลยกับนางประนอม โคกกรวด จำเลยไม่เคยร่วมประเวณีกับนางประนอมมารดาโจทก์ นางประนอมเคยจดทะเบียนสมรสกับสิบตำรวจโทกระแสร์ และอยู่กินด้วยกันตลอดมาจนกระทั่งจดทะเบียนหย่ากันเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2527 โจทก์เกิดเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2527 แสดงว่านางประนอมตั้งครรภ์เมื่อประมาณเดือนธันวาคม 2526 ถึงมกราคม2527 โจทก์จึงควรจะเป็นบุตรของสามีนางประนอม ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าโจทก์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของจำเลยให้จำเลยไปจดทะเบียนรับโจทก์เป็นบุตรภายใน 7 วัน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเด็กและเยาวชนวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความนำสืบรับกันและตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาโดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้เถียงฟังได้ว่า นางประนอม โคกกรวดมารดาโจทก์จดทะเบียนสมรสกับสิบตำรวจโทกระแสร์ โภคทรัพย์ เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2526 และได้จดทะเบียนหย่าเมื่อวันที่8 มีนาคม 2527 เด็กชายพิพัฒน์พงษ์ เมาไธสง โจทก์เกิดเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2527 จำเลยเป็นพระภิกษุอยู่วัดหนองจอกตำบลบ้านโพธิ์ อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมาต่อมาปลายปี พ.ศ. 2525 ได้ย้ายไปรักษาการในตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสูงจอหอ ตำบลจอหอ อำเภอเมืองนครราชสีมาจังหวัดนครราชสีมา จนปลายปี พ.ศ. 2526 จึงได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดดังกล่าวมีปัญหาพิจารณาตามฎีกาจำเลยว่า จำเลยได้ร่วมประเวณีกับนางประนอมมารดาโจทก์ในระยะเวลาซึ่งนางประนอมอาจตั้งครรภ์ได้ และไม่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าโจทก์เป็นบุตรชายอื่นหรือไม่ สมควรวินิจฉัยเหตุการณ์ก่อนเกิดเหตุคดีนี้เสียก่อนปรากฏว่าเมื่อจำเลยรับนิมนต์ ไปเป็นผู้รักษาการในตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสูงจอหอนั้นจำเลยดูดวงชะตาและทำน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ให้แก่บุคคลทั่วไปชาวบ้านเลื่อมใสศรัทธาพระครูสุนทรคุณวัตรวัดประมวลราษฎร์ พยานจำเลยซึ่งเป็นเจ้าคณะตำบลจอหอ มีหน้าที่ดูแลปกครองคณะสงฆ์ในพื้นที่ตำบลจอหอทั้งหมดเบิกความว่า รู้จักจำเลยตั้งแต่จำเลยบวชอยู่ที่วัดหนองจอก เมื่อตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสูงหอจอว่างลงนายทอง ปราบงูเหลือม กับพวกกรรมการวัดและชาวบ้านไปพบพระครูสุนทรคุณวัตรเพื่อแนะนำว่าสมควรตั้งพระภิกษุรูปใดเป็นเจ้าอาวาส พระครูสุนทรคุณวัตรให้คณะกรรมการวัดเลือกเฟ้นเองแล้วนายทองเสนอว่าควรเชิญจำเลยไปเป็นเจ้าอาวาสวัดสูงจอหอพระครูสุนทรคุณวัตรจึงมีคำสั่งให้จำเลยรักษาการในตำแหน่งเจ้าอาวาสตามที่จำเลยขอเพราะจำเลยต้องการดูใจญาติโยม ที่มาทำบุญที่วัดก่อน หลังจากนั้น 6 เดือนก็ได้แต่งตั้งจำเลยเป็นเจ้าอาวาสวัดสูงจอหอตามมติของสงฆ์และญาติโยม จำเลยปกครองและพัฒนาวัดอย่างดีมีความเจริญก้าวหน้า ได้สะสางงานเกี่ยวกับเรื่องการเงินของวัดซึ่งเดิมมีกรรมการวัดอยู่ 3 คนคือ นายทองนายพันธ์ กลองโพธิ์ และนายเอี้ยง ช่างเกวียน ปรากฏว่ากรรมการบางคนเบิกพัสดุของวัดให้บุคคลภายนอกโดยคิดค่าบริการ จำเลยได้ยกเลิกอำนาจของกรรมการชุดนี้ การใช้จ่ายเงินของวัดจำเลยได้ดำเนินการเอง จำเลยปกครองพระลูกวัดตามพระธรรมวินัยโดยเคร่งครัดได้ขับไล่พระภิกษุบางรูปซึ่งมีความประพฤติไม่เรียบร้อยออกจากวัดพระภิกษุสามเณรรูปใดไม่สนใจการศึกษา จำเลยจะไม่ให้อยู่ในวัดการก่อสร้างศาลาวัดกรรมการวัดชุดเดิมยังทำไม่แล้วเสร็จขาดเงินอีกประมาณ 200,000 บาท จำเลยได้จัดหาเงินมาสร้างศาลาวัดจนเสร็จเรียบร้อยโดยไม่ให้กรรมการชุดเดิมเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเงินอีกเลย ทำให้กรรมการวัดชุดเดิมไม่พอใจโดยเฉพาะนายทองมีพฤติการณ์บังคับให้เปลี่ยนตัวเจ้าอาวาสวัดสูงจอหอที่ไม่เชื่อฟังตนภายในระยะ 5 ปี ต้องเปลี่ยนเจ้าอาวาสถึง 4 รูปและขณะเมื่อพระครูสุนทรคุณวัตรทำการสอบสวนเรื่องนางประนอมกล่าวหาจำเลยอยู่กับคณะกรรมการสงฆ์ซึ่งต่างเป็นเจ้าอาวาสวัดในตำบลจอหอ นายทองเข้าไปที่วัดบอกพระครูสุนทรคุณวัตรกับคณะว่า หากเจ้าอาวาสวัดใดไม่เชื่อฟังตนก็จะเป็นเจ้าอาวาสอยู่ต่อไปไม่ได้ นายทองไม่ได้เป็นมัคนายกหรือกรรมการวัดสูงจอหอตั้งเป็นทางการ แต่ประกาศตนว่าเป็นตำแหน่งดังกล่าวโดยพลการ ก่อนจำเลยเป็นเจ้าอาวาสวัดสูงจอหอ นายทองเป็นผู้ดูแลการเงินของวัดทั้งสิ้นเป็นเวลา 20 ปี มาแล้วระหว่างนั้นนายทองจัดงานวัดโดยอาศัยชื่อวัดหลายครั้ง พระครูสุนทรวัตรได้ห้ามแล้วแต่นายทองไม่เชื่อฟัง และได้จัดงานวัดโดยมีรำวงชกมวย และจัดให้มีการดื่มสุราในบริเวณวัดด้วย พระครูไพศาลสมณกิจ เจ้าอาวาสวัดหนองจอก พยานจำเลยเบิกความว่าจำเลยเรียนปริยัติธรรมที่วัดหนองจอกได้นักธรรมตรี อยู่ในระหว่างการศึกษานักธรรมโทอยู่จำเลยมีความประพฤติอยู่ในขอบเขตดีไม่เคยมีความเสียหายในเรื่องชู้สาว พระครูสุนทรคุณวัตรและพระครูไพศาลสมณกิจเป็นพระสังฆาธิการมีสมณศักดิ์ ปกครองคณะสงฆ์รวมทั้งจำเลยด้วยต่างเบิกความมีเหตุผลเชื่อได้ว่าเป็นความจริงส่วนปัญหาที่ว่า จำเลยได้ร่วมประเวณีกับนางประนอมมารดาโจทก์ในระยะเวลาซึ่งนางประนอมอาจตั้งครรภ์ได้และไม่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าโจทก์เป็นบุตรของชายอื่นไม่ พยานโจทก์มีนางประนอมเบิกความว่า เมื่อประมาณกลางเดือนกันยายน 2526 ได้ไปหาจำเลยเพื่อตรวจดวงชะตาจำเลยบอกว่าชะตาขาดต้องสะเดาะเคราะห์ ปล่อยนกปล่อยปลา จำเลยได้อาบน้ำมนต์ ให้ 3 วัน นางประนอมพูดเข้าใจกันดีกับจำเลย จึงไปหาจำเลยอีกหลายครั้ง ต่อมาคืนวันที่18 ตุลาคม 2526 ที่จำเลยมีฉายภาพยนตร์ กลางแปลง นางประนอมไปวัดกับนายทวนและนายอ้อ นางประนอมแยกไปหาจำเลยที่กุฎิจำเลย เข้าไปนั่งคุยกับจำเลยในห้องของจำเลย จำเลยสั่งให้เด็กชายสนอง อาจประจักษ์และเด็กชายสนอง เสริญกลางลูกศิษย์จำเลยปิดประตูซึ่งเป็นเหล็กยืด นางประนอมจัดหนังสือและเทปให้จำเลย คุยกับจำเลยจนถึงเวลา 22 นาฬิกา นายทวน นายอ้อมาเรียกที่หน้ากุฎิให้กลับบ้านด้วยกัน นางประนอมบอกให้กลับไปก่อน แล้วจำเลยได้ทำพิธีลงทองให้โดยให้นางประนอมถอดเสื้อชั้นนอกออกให้นั่งพับเพียบกับพื้นประนมมือแล้วเริ่มลงทองเป็นทองคำเปลว 9 แผ่น ปิดที่หน้าผาก 1 แผ่น หน้าอก 2 แผ่นด้านหลัง 2 แผ่น หัวไหล่ข้างละ 1 แผ่น และที่แก้มข้างละ 1 แผ่นให้นั่งวิปัสสนาดูลูกแก้ว ต่อมานางประนอมง่วงจึงนอนหลับคืนนั้นตื่นขึ้นถูกจำเลยกระทำชำเรา จำเลยบอกว่าสร้างศาลาเสร็จแล้วจะสึกออกไปอยู่กินกับนางประนอม ตอนรุ่งสว่างได้ร่วมประเวณีกันอีก 1 ครั้ง ต่อมาวันที่ 11 พฤศจิกายน 2526 นางประนอมได้ไปช่วยทำกระทงที่วัดตอนดึกได้หลับนอนกับจำเลยอีก โจทก์มิได้อ้างและนำสืบนายทวนและนายอ้อเป็นพยานโจทก์ คงมีเด็กชายสนอง อาจประจักษ์พยานโจทก์เบิกความว่าเด็กชายสนอง อาจประจักษ์ กับเด็กชายสนอง เสริญกลางเป็นลูกศิษย์ ของจำเลย นอนอยู่กุฎิเดียวกันกับจำเลย แต่นอนในห้องด้านนอก จำเลยอยู่ ในห้องด้านในมีแผ่นกระดาษคั่นกลางเห็นนางประนอมเข้าไปนอนในห้องจำเลย ส่วนจำเลยไปนอนอยู่ที่หน้าพระพุทธรูปสำหรับสวดมนต์ซึ่งอยู่อีกห้องหนึ่ง เมื่อเด็กชายสนอง อาจประจักษ์ตื่นขึ้นมาในตอนดึกไม่เห็นจำเลยที่ที่จำเลยนอน และห้องชั้นในซึ่งนางประนอมนอนปิดประตูจึงเข้าใจว่าจำเลยนอนอยู่กับนางประนอมในห้องชั้นใน เมื่อวันขึ้นปีใหม่ 2527 จำเลยให้เด็กชายสนอง อาจประจักษ์ เด็กชายสนอง เสริญกลางและนางประนอมไปเที่ยวงานปีใหม่ กลับมาตอนดึก เด็กชายสนองทั้งสองคนนอนด้านนอก นางประนอมเข้านอนด้านใน ส่วนจำเลยกางกลด นอนข้างนอก ตอนดึกเด็กชายสนอง อาจประจักษ์ ตื่นขึ้นไปถ่ายปัสสาวะไม่เห็นจำเลยนอนอยู่ข้างนอก ประตูเหล็กในห้องที่นางประนอมนอนปิดอยู่ แต่เด็กชายสนอง เสริญกลาง (ขณะเบิกความเป็นสามเณร) พยานจำเลยเบิกความว่า เด็กชายสนองทั้งสองคนนอนอยู่ในมุ้ง เดียวกันนอกห้องจำเลยส่วนจำเลยนอนอยู่ในห้องชั้นในมีประตูปิด นางประนอมไปนอนมุ้ง เดียวกับเด็กชายสนองทั้งสองคน สองครั้ง โดยจำเลยไม่ทราบ เหตุที่ไม่นอนเพราะทำกระทงดึกและเที่ยวงานวัดดึก วันรุ่งขึ้นจำเลยทราบได้ตักเตือนมิให้นางประนอมประพฤติเช่นนี้อีกขณะเกิดเหตุเด็กชายสนอง อาจประจักษ์ และเด็กชายสนอง เสริญกลาง อายุคนละประมาณ 13 ปี เด็กชายสนอง อาจประจักษ์ เบิกความเป็นพยานโจทก์มิได้ยืนยันว่าเห็นนางประนอมนอนห้องเดียวกันกับจำเลย แต่พยานว่ามีพฤติการณ์ทำให้เข้าใจเช่นนั้นก่อนฟ้องคดีนี้ ได้ความว่านางประนอมไปร้องเรียนต่อพระครูสุนทรคุณวัตรเจ้าคณะตำบลจอหอว่าได้เสียกับจำเลย ได้มีการตั้งคณะกรรมการสงฆ์ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดในตำบลจอหอขึ้นทำการสอบสวน โจทก์อ้างเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับการร้องเรียนของนางประนอมมาเป็นพยานโจทก์ ศาลฎีกาตรวจแล้วไม่ปรากฏว่ามีการสอบสวนเด็กชายสนอง อาจประจักษ์และเด็กชายสนอง เสริญกลางแต่อย่างใด เมื่อพระครูสุนทรคุณวัตรสอบสวนนายทองในฐานะพยานของนางประนอมให้การว่า ทราบเรื่องนี้จากนางประนอมและมารดานางประนอมเล่าให้ฟัง ส่วนนายพันธ์พยานโจทก์ก็ให้การเพียงว่า เมื่อไปวัดสูงหอจอพบนางติ๋ว(ชื่อเล่นของนางประนอม) บอกว่ามีท้องให้นายพันธ์ช่วยเหลือให้ความเป็นธรรม นายพันธ์ตอบว่าเดี๋ยว ลุงจะช่วยจัดความเป็นธรรมให้ แสดงว่าเด็กชายสนอง อาจประจักษ์ มิได้เล่าเรื่องที่ตนรู้เห็นว่าจำเลยมีความสัมพันธ์กับนางประนอมให้นายพันธ์และนางทองฟังแต่อย่างใด หากเด็กชายสนอง อาจประจักษ์ รู้เห็นพฤติการณ์ดังที่เบิกความมาแล้วก็น่าจะบอกแก่นายพันธ์ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านและนายทอง นายพันธ์เป็นผู้ใหญ่บ้านท้องที่เมื่อมีผู้เล่าลือในทางไม่ดีต่อเจ้าอาวาสในวัดในหมู่บ้านตนก็น่าจะสอบถามเด็กชายสนอง อาจประจักษ์ และเด็กชายสนอง เสริญกลาง ผู้เป็นศิษย์ อยู่ใกล้ชิดกับเจ้าอาวาสดูบ้างแต่หาได้ทำไม่ ปรากฏจากคำเบิกความของเด็กชายสนอง เสริญกลางพยานจำเลยว่าบิดาเด็กชายสนอง อาจประจักษ์ เป็นญาติกับนายพันธ์เด็กชายสนอง อาจประจักษ์ไปอาศัยอยู่กินบิดามารดาที่ตำบลคลองไผ่ตั้งแต่เดือนมกราคม 2527 และเด็กชายสนองอาจประจักษ์ ก็ว่านายพันธ์เป็นผู้ขอให้มาเบิกความเป็นพยานโจทก์ในคดีนี้ ดังนี้คำเบิกความของเด็กชายสนอง อาจประจักษ์จึงมีข้อน่าระแวงสงสัยไม่น่าเชื่อว่าเป็นความจริง ที่พระสังเวียน สุธีโร พยานโจทก์เบิกความว่า เห็นนางประนอมนอนค้างที่กุฎิจำเลยประมาณ 20 ครั้ง ตอนเช้าเห็นนางประนอมเดินออกจากกุฎิจำเลยไปข้าง ๆ โบสถ์ แต่เมื่อพยานไปให้การเรื่องนี้ต่อพระครูสนองคุณวัตรพยานให้การว่าจำเลยเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์กับมาตุคาม (ผู้หญิง) เป็นประจำคาดว่าเคยได้ร่วมประเวณีหลายครั้งหลายคราวและหลายคนด้วยในกุฎิที่เป็นที่อยู่ของเจ้าอาวาสเองไปนอนค้างร่วมกันในเวลากลางคืนบ่อย ๆ ประมาณเวลา 18 นาฬิกาขึ้นไปผู้หญิงจะมาที่กุฎิและนอนค้างตลอดคืนผู้หญิงจะกลับเวลา 6 นาฬิกา เป็นประจำและผู้หญิงจะแอบหลบซ่อนไปข้างโบสถ์ พยานโจทก์ปากนี้ให้การชั้นสอบสวนต่อพระครูสุนทรคุณวัตรโดยการคาดคะเนเหตุการณ์เอา ในชั้นพิจารณาปรากฏว่าได้ย้ายไปอยู่อื่นแล้วซึ่งอาจเป็นเพราะไม่พอใจจำเลยและมาเบิกความเป็นอย่างอื่น คำเบิกความของพยานจึงเป็นที่น่าระแวงสงสัย สำหรับข้อเท็จจริงเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2527เมื่อนางประนอมพาจ่าสิบตำรวจฉัตรชัยไปหาจำเลยที่วัดนางประนอมแจ้งว่าท้องกับจำเลย และขอเงินจากจำเลย จำเลยปฏิเสธมีผู้ไปตามมารดานางประนอมไปที่วัด เมื่อมารดานางประนอมทราบเช่นนั้นก็ไม่เชื่อได้ด่าว่าและตบตีนางประนอมว่าเป็นคนไม่ดีเอาความไม่จริงมาใส่ร้ายจำเลย ส่วนข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบว่านางทุเรียนได้นิมนต์ จำเลยไปที่บ้านมารดานางประนอมเพื่อสอบถามเรื่องนี้ จำเลยก็ปฏิเสธว่าไม่ได้ไปบ้านมารดานางประนอม ทั้งพยานโจทก์ก็เบิกความแตกต่างกันกล่าวคือ นางอรุณ โคกกรวดมารดานางประนอมเบิกความว่าทราบจากนางทุเรียน คำมีน้องสาวว่านางประนอมท้องกับพระได้นิมนต์ จำเลยไปฉันเพลที่บ้านองค์เดียวแล้วถามว่านางประนอมท้องกับจำเลยแล้วจะว่าอย่างไร จำเลยไม่ตอบ นางอรุณีจึงพูดว่าหากนางประนอมคลอดบุตรออกมาจะไม่เอาไว้ จะให้คนอื่นไป จำเลยพูดว่าให้เลี้ยงเอาไว้ไม่หนักหนาอะไร นางอรุณจึงว่าจะเลี้ยงเอาไว้ แต่ให้จำเลยส่งเสียเงินทองจำเลยพยัก หน้า นางอรุณเข้าใจว่าจำเลยยอมรับว่าเป็นบุตรและจะส่งเสีย แต่นางทุเรียน คำมีเบิกความว่ามารดานางประนอมจัดอาหารให้จำเลยฉันเพลแล้วถามจำเลย จำเลยรับว่าได้ผิดไปแล้วนางทุเรียนจึงว่าให้เรื่องเงียบ ไปอย่าให้อื้อฉาว ให้จำเลยบวชต่อไปแต่ให้ส่งเสียเงินทองให้บ้าง จำเลยรับว่าจะส่งเงินให้แต่จำเลยหาส่งให้ไม่ เห็นว่าพยานโจทก์ดังกล่าวเบิกความแตกต่างขัดกันเองฟังไม่ได้ว่าจำเลยยอมรับว่าได้เสียกับนางประนอมแต่อย่างใด นายเอี้ยง ช่างเกวียนพยานโจทก์อีกปากหนึ่งเบิกความว่า เมื่อวันสุดท้ายของงานลอยกระทงปี พ.ศ. 2526 เวลาประมาณ 9 นาฬิกา ได้ขึ้นไปเอาเงินจากจำเลยบนกุฎิจำเลยจำนวน200 บาท พบนางประนอมนอนอยู่บนเตียงผ้าใบและมีผ้าสีเหลืองห่ม อยู่ส่วนจำเลยนอนอยู่ห้องชั้นใน วันนั้นจำเลยไม่ได้ให้เงินแก่นายเอี้ยง เมื่อพระครูสุนทรคุณวัตร สอบสวนเรื่องนางประนอมอ้างว่าได้เสียกับจำเลยก็ไม่ปรากฏว่านายเอี้ยงไปให้การเรื่องนี้ต่อพระครูสุนทรคุณวัตรแต่อย่างใด ต่อเมื่อคณะกรรมการสงฆ์ตัดสินว่าจำเลยไม่มีมลทิน นายเอี้ยงจึงร่วมกับพวกร้องเรียนต่อเจ้าคณะอำเภอเมืองนครราชสีมาว่าจำเลยประพฤติตนไม่เหมาะสมเกี่ยวกับเรื่องมาตุคาม (ผู้หญิง)อีก สำหรับคำพยานโจทก์ปากอื่นคือนายทอง นายพันธ์ นายผิน ไกรหาญ นายเสรี ไชยกิตตินายอารมณ์ อาลัยวงศ์ นายทรัพย์ เจิมจอหอ นายสัมฤทธิ์ วาดโคกสูงและนายเที่ยง แก้วเพชร นั้นต่างมิได้รู้เห็นเหตุการณ์ได้ฟังแต่คำเล่าลือของชาวบ้านว่านางประนอมกับจำเลยได้เสียกันจนมีบุตรและนางประนอม หาฟ้องขอให้จำเลยรับเด็กเป็นบุตรคำพยานจึงมีน้ำหนักน้อยไม่พอรับฟังเป็นยุติได้ว่าเป็นเช่นนั้นสำหรับรายงานการตรวจโลหิตซึ่งปรากฏว่า นางประนอมโลหิตหมู่โอ จำเลยโลหิตหมู่บี โจทก์โลหิตหมู่บี ส่วนสิบตำรวจโทกระแสร์โลหิตหมู่โอ นางมธุรส ไชยวรพรนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ 6 หัวหน้าแผนกธนาคารเลือดโรงพยาบาลมหาราช จังหวัดนครราชสีมา ผู้รายงานผลการตรวจเลือดในคดีนี้เบิกความว่า โลหิตระบบ เอ บี โอ คนไทยจะมีหมู่โอมากที่สุด รองลงมาได้แก่หมู่บี เอ และเอบี ตามลำดับ ในภาคอีสานจะเป็นหมู่บี มากกว่าหมู่โอ เล็กน้อย ดังนั้นผลการตรวจเลือดดังกล่าวจึงชี้ไม่ได้ว่าโจทก์เป็นบุตรจำเลย และปรากฏว่าเมื่อนางประนอมไปร้องเรียนกล่าวหาว่าได้เสียกับจำเลยแล้วพระครูสุนทรคุณวัตรได้ตั้งกรรมการสงฆ์ขึ้นทำการสอบสวนได้เรียกนางประนอมไปให้ปากคำ แต่นางประนอมหาได้ไปให้ปากคำต่อคณะกรรมการไม่ คณะกรรมการจึงสรุปผลการสอบสวนว่า จำเลยไม่มีมลทินเหตุที่จำเลยถูก ร้องเรียนน่าจะเนื่องจากไปขัดผลประโยชน์บุคคลกลุ่มหนึ่งในการดำเนินการในวัน นอกจากนี้ยังมีรายงานแสดงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผู้เยาว์ของผู้อำนวยการสถานพินิจและคุ้มครองเด็กจังหวัดนครราชสีมาให้ความเห็นว่า ยังไม่ปรากฏแจ้งชัดว่านางประนอมกับจำเลยได้ร่วมประเวณีกันในระยะที่นางประนอมอาจตั้งครรภ์ได้ ข้อเท็จจริงเชื่อไม่ได้ว่า ผู้เยาว์ที่นางประนอมให้กำเนิด นั้นเป็นบุตรของจำเลย และมีนางเสมอ รินราพยานจำเลยเบิกความว่า มีเสียงเล่าลือว่านางประนอมท้องกับจำเลยจำเลยส่งเงินให้นางประนอมใช้ที่จังหวัดลพบุรี เพื่อพิสูจน์ความจริง นางเสมอจึงเข้าไปถือบวชที่วัดสูงจอหอ ปรากฏว่าจำเลยต้อนรับอุบาสก อุบาสิกาทั่วไปเสมอกันหมด ไม่มีพฤติการณ์เสื่อมเสียในทางเพศตรงกันข้าม และได้ชวนนางสมเวียง กาญจนวัฒนาไปพบนางประนอมที่จังหวัดลพบุรี นางประนอมบอกว่าจำเลยไม่เคยส่งเงินไปให้ใช้และไม่เคยไปเยี่ยม ซึ่งมีนางสมเวียงพยานจำเลยเบิกความสนับสนุน ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า พยานจำเลยมีน้ำหนักยิ่งกว่าพยานโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า จำเลยได้ร่วมประเวณีกับนางประนอมมารดาโจทก์ในระยะเวลาซึ่งนางประนอมอาจตั้งครรภ์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าโจทก์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย ให้จำเลยไปจดทะเบียนรับโจทก์เป็นบุตร ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share