แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายทั้งสองและผู้ตายรวม 4 นัด นัดแรกยิงผู้เสียหายที่ 1 เพราะผู้เสียหายที่ 1 ต่อว่าจำเลยที่นำเอาอาวุธปืนออกมาขู่ ครั้นผู้เสียหายที่ 2 ส่งเสียงร้องหวีดเพราะตกใจที่เห็นจำเลยยิงผู้เสียหายที่ 1 จำเลยก็ยิงผู้เสียหายที่ 2 เป็นนัดที่ 2 เมื่อผู้ตายยกมือไหว้และขอร้องอย่ายิงจำเลยก็ยิงผู้ตายเป็นนัดที่ 3 ก่อนไปจำเลยเห็นผู้เสียหายที่ 2 ที่ถูกยิงยังไม่ตายจึงได้ยิงซ้ำอีก 1 นัดแสดงว่าการยิงปืนแต่ละนัดตามประสงค์และจุดมุ่งหมายของจำเลยได้แยกออกจากกันว่าการยิงนัดใดจำเลยยิงผู้เสียหายทั้งสองและผู้ตายคนใด เจตนาฆ่าจึงแยกออกจากกันได้เป็นการกระทำหลายกรรมต่างกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2536 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยกระทำความผิดหลายกรรม กล่าวคือจำเลยใช้อาวุธปืนยิงนายวิทยา หนูเอียด ผู้ตาย 1 นัดโดยเจตนาฆ่ากระสุนปืนถูกบริเวณคอด้านหลังเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายและใช้อาวุธปืนยิงนายจีรพงศ์ ไข่ขาวผู้เสียหายที่ 1 จำนวน 1 นัด โดยเจตนาฆ่า กระสุนปืนถูกที่บริเวณศีรษะ กับใช้อาวุธปืนยิงนางสาวนันญา สุวรรณพยัคฆ์ผู้เสียหายที่ 2 จำนวน 2 นัดโดยเจตนาฆ่า กระสุนปืนถูกที่บริเวณแก้มและราวนาขวา แต่แพทย์ให้การรักษาผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2ไว้ทัน ผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 จึงไม่ตาย เพียงแต่ได้รับอันตรายสาหัสต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาและจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 288, 91 และริบหัวกระสุนปืนของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณานายรัตน์ หนูเอียด บิดาของนายวิทยา หนูเอียด ผู้ตายื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80การกระทำความผิดของจำเลยเป็นการกระทำความผิดสามกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่นให้ลงโทษประหารชีวิต ฐานพยายามฆ่าสองกระทงแต่ละกระทงให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิตเมื่อลงโทษประหารชีวิตแล้วจึงไม่นำโทษจำคุกตลอดชีวิตมารวมคงให้ประหารชีวิตจำเลยสถานเดียว ริบหัวกระสุนปืนของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาสุดท้ายที่จำเลยฎีกามีว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรมจากพยานฝ่ายโจทก์จำเลยดังวินิจฉัยมาข้างต้น เห็นว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายทั้งสองและผู้ตายรวม 4 นัด นัดแรกยิงผู้เสียหายที่ 1 เพราะผู้เสียหายที่ 1 ต่อว่าจำเลยที่นำเอาอาวุธปืนออกมาขู่ครั้นผู้เสียหายที่ 2 ส่งเสียงร้อยหวีดเพราะตกใจที่เห็นจำเลยยิงผู้เสียหายที่ 1 จำเลยก็ยิงผู้เสียหายที่ 2 เป็นนัดที่ 2 เมื่อผู้ตายยกมือไหว้และขอร้องจำเลยอย่ายิงจำเลยก็ยิงผู้ตายเป็นนัดที่ 3 ก่อนไปจำเลยเห็นผู้เสียหายที่ 2ที่ถูกยิงยังไม่ตายจึงได้ยิงซ้ำอีก 1 นัด แสดงว่าการยิงปืนแต่ละนัดตามประสงค์และจุดมุ่งหมายของจำเลยได้แยกออกจากกันว่าการยิงนัดใดจำเลยยิงผู้เสียหายทั้งสองและผู้ตายคนใด เจตนาฆ่าผู้เสียหายทั้งสองและผู้ตายในขณะลงมือกระทำผิดจึงแยกออกจากกันได้การกระทำของจำเลยจึงมิใช่กรรมเดียว แต่เป็นการกระทำหลายกรรมต่างกัน”
พิพากษายืน