แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยให้การว่าโจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของพ.ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยสัญญาจะซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทระหว่างพ. กับจำเลยระบุวันที่คู่สัญญาจะต้องไปจดทะเบียนซื้อขายที่ดินเมื่อถึงกำหนดนัดพ. ไม่ไปตามนัดจึงเป็นฝ่ายผิดนัดคำให้การดังกล่าวเป็นการปฏิเสธฟ้องโจทก์ว่าจำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายผิดนัดดังนั้นที่ศาลชั้นต้นชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาหรือไม่จึงเป็นการชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทที่มิได้ผิดจากข้อเท็จจริงในสำนวน ศาลชั้นต้นชี้สองสถานโดยไม่กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาต่อกันหรือไม่แม้ประเด็นดังกล่าวจะตรงประเด็นตามคำฟ้องและคำให้การก็ตามแต่จำเลยไม่ได้คัดค้านภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นสั่งกำหนดประเด็นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา183วรรคสี่ดังนี้ถือว่าจำเลยสละประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวแล้ว สัญญาจะซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทเป็นสัญญาระหว่างพ.กับจำเลยต่อมาพ. ตายก่อนวันนัดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ดังนั้นสิทธิในการโอนกรรมสิทธิ์และหน้าที่การชำระเงินที่เหลือของที่ดินและบ้านพิพาทตามสัญญาย่อมเป็นกองมรดกของพ. ผู้ตายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1600การเรียกร้องสิทธิของจำเลยในฐานะเจ้าหนี้กองมรดกต้องบังคับต่อทายาทหรือผู้จัดการมรดกการที่จำเลยมีหนังสือนัดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทแจ้งให้พ. ทราบหลังจากที่พ. ถึงแก่ความตายแล้วจึงไม่มีผลบังคับสัญญาจะซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทจึงยังมีผลผูกพันกันอยู่ระหว่างจำเลยกับทายาทหรือผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยปัญหาที่จำเลยได้ยกขึ้นโต้เถียงเป็นประเด็นในชั้นอุทธรณ์ซึ่งเป็นการไม่ชอบถือว่าเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยให้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกนางสาวพนิดา ยานะผู้ตาย เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2535 โจทก์ได้รับหนังสือบอกกล่าวจากนายอดิศักดิ์ โทวระ ผู้รับมอบอำนาจของจำเลยส่งถึงผู้ตายแจ้งให้นำเงินไปชำระจำนวน 500,000 บาท และให้จดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมบ้านในวันที่ 28 สิงหาคม 2535ณ สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาหนองแขม โจทก์พยายามติดต่อผู้รับมอบอำนาจจำเลยเพื่อขอทราบเรื่องราวและแจ้งถึงการตายของผู้ตาย แต่ไม่สามารถติดต่อได้โจทก์จึงไปขอตรวจสอบหลักฐานทางทะเบียนปรากฏว่าเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2534 ผู้ตายได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดิน 60 ตารางวา ตามโฉนดที่ดินเลขที่ 74360 เลขที่ 3756พร้อมบ้านเลขที่ 5/12 บนที่ดินดังกล่าวจากจำเลยราคา 3,000,000 บาทกำหนดโอนภายใน 1 ปี จำเลยได้รับเงินไปแล้ว 2,500,000 บาท ผู้ตายได้เสียชีวิตก่อนกำหนดโอน โดยไม่มีทายาทคนใดรู้ถึงความผูกพันตามสัญญาจะซื้อขาย ฉะนั้น สิทธิตามสัญญาจะซื้อขายจึงเป็นทรัพย์สินกองมรดกของผู้ตาย โจทก์ได้มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือนัดให้จำเลยไปพบ ณ สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาหนองแขม ในวันที่11 กันยายน 2535 เวลา 13 นาฬิกา เพื่อทำความตกลงและชำระเงินจำนวน 500,000 บาท และให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านตามสัญญาให้เป็นชื่อของโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดก ครั้นถึงวันนัดโจทก์ได้ไปรอจำเลยตามนัดจนถึงเวลา 16.30 นาฬิกา จำเลยไม่ไปขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทให้โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายโดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าธรรมเนียม ค่าภาษี และค่าใช้จ่ายในการโอนทั้งสิ้นหากจำเลยเพิกเฉยให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยและให้จำเลยรับชำระราคาที่ดินและบ้านที่เหลือตามสัญญาจะซื้อขายจำนวน500,000 บาท ด้วย
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนางสาวพนิดา ยานะหรือไม่ จำเลยไม่รับรอง โจทก์เป็นบุคคลภายนอกไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยและไม่มีสิทธิมอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือแจ้งให้จำเลยไปจดทะเบียนนิติกรรมกับโจทก์ สัญญาจะซื้อขายที่ดินระหว่างนางสาวพนิดากับจำเลยในข้อที่ 1 มีข้อความระบุได้ชัดเจนว่าคู่สัญญาจะต้องไปจดทะเบียนนิติกรรมซื้อขายที่ดินกัน ณสำนักงานที่ดินในวันที่ 19 สิงหาคม 2535 เมื่อถึงวันนัดนางสาวพนิดามิได้ไปสำนักงานที่ดิน จำเลยรออยู่จนเวลา 16.30 นาฬิกาถือว่า นางสาวพนิดาเป็นฝ่ายผิดนัดจำเลยมีสิทธิริบเงินมัดจำนางสาวพนิดาจะถึงแก่ความตายจริงหรือไม่ จำเลยไม่รับรองสิทธิในสัญญาดังกล่าวเป็นสิทธิเฉพาะตัวของคู่สัญญา โจทก์ไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 74360 ตำบลบางแคเหนือ (บางเชือกหนังฝั่งใต้)อำเภอภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 60 ตารางวา พร้อมบ้านเลขที่ 5/12 หมู่ที่ 5 แขวงบางแคเหนือ เขตภาษีเจริญกรุงเทพมหานคร เป็นชื่อของโจทก์ในฐานะเป็นผู้จัดการมรดกของนางสาวพนิดา ยานะ ผู้ตาย ให้จำเลยรับเงินค่าที่ดินอีก 500,000 บาทและเป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมค่าภาษีและค่าใช้จ่าย หากจำเลยเพิกเฉยให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยแทน
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาข้อกฎหมายที่จะวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าศาลชั้นต้นชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทในข้อ 2 ว่า”จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาหรือไม่” ผิดจากข้อเท็จจริงในสำนวนหรือไม่จำเลยฎีกาว่า จำเลยได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นไว้ว่า จำเลยไม่เคยทำสัญญาใด ๆ กับโจทก์ จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ต้องปฏิบัติการชำระหนี้แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นน่าจะชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า “โจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาต่อกันหรือไม่” แต่ศาลชั้นต้นไม่ได้ชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทดังกล่าว กลับรวบรัดชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทในข้อ 2 ว่า “จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาหรือไม่” เช่นนี้เป็นการชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทผิดจากข้อเท็จจริงในสำนวน จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 183 นั้น เห็นว่า จำเลยให้การในข้อ ก. และ ข.ว่าโจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิมอบอำนาจให้ทนายความทำหนังสือแจ้งให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินและบ้านพิพาทและตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทระหว่างนางสาวพนิดา ยานะกับจำเลย ข้อ 1 ระบุว่า คู่สัญญาจะต้องไปจดทะเบียนซื้อขายที่ดินในวันที่ 19 สิงหาคม 2535 เมื่อถึงกำหนดนัดนางสาวพนิดาไม่ไปตามนัดจึงเป็นฝ่ายผิดนัด คำให้การดังกล่าวเป็นการปฏิเสธฟ้องโจทก์ว่า จำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายผิดนัด ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า “จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาหรือไม่”จึงเป็นการชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทที่มิได้ผิดจากข้อเท็จจริงในสำนวนดังที่จำเลยฎีกา
ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นควรชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาต่อกันหรือไม่นั้น เห็นว่า แม้ประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวจะตรงประเด็นตามคำฟ้องและคำให้การก็ตามแต่เมื่อศาลชั้นต้นชี้สองสถานโดยไม่ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทตามที่จำเลยฎีกาดังกล่าว จำเลยก็ไม่ได้คัดค้านภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นสั่งกำหนดประเด็น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 183 วรรคสี่ ดังนี้ ถือว่าจำเลยสละประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวแล้ว สำหรับคำพิพากษาฎีกาที่จำเลยอ้างมานั้น ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้จึงนำมาเปรียบเทียบไม่ได้
ที่จำเลยฎีกาต่อมาว่าเมื่อถึงวันนัดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทวันที่ 19 สิงหาคม 2535 แต่นางสาวพนิดาไม่ไปตามนัด จำเลยได้ให้โอกาสโดยเลื่อนออกไปอีกเป็นวันที่28 สิงหาคม 2535 นางสาวพนิดาก็ไม่ไปอีก สัญญาจะซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทจึงหมดอายุการใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2535ถือว่าสิทธิของนางสาวพนิดา ตามสัญญาหมดสิ้นไปแล้วตั้งแต่วันดังกล่าวและไม่เป็นมรดกของนางสาวพนิดา นั้น เห็นว่าตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาท เอกสารหมาย จ.3 เป็นสัญญาระหว่างนางสาวพนิดากับจำเลย กำหนดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในวันที่ 19 สิงหาคม 2535 คดีได้ความว่านางสาวพนิดาถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2535 ก่อนวันนัดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ดังนั้น สิทธิการรับโอนกรรมสิทธิ์และหน้าที่การชำระเงินที่เหลือของที่ดินและบ้านพิพาทตามสัญญาจะซื้อขายดังกล่าวย่อมเป็นกองมรดกของนางสาวพนิดาผู้ตาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1600การเรียกร้องสิทธิของจำเลยในฐานะเจ้าหนี้กองมรดกต้องบังคับต่อทายาทหรือผู้จัดการมรดก ดังนั้น การที่จำเลยมีหนังสือนัดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทตามเอกสารหมาย จ.4แจ้งให้นางสาวพนิดาไปดำเนินการเพื่อปฏิบัติตามสัญญาหลังจากนางสาวพนิดาถึงแก่ความตายแล้วจึงย่อมไม่มีผลบังคับตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 3252/2524 ระหว่างกรมสรรพากร โจทก์นายสุรินทร์ สหไพบูลย์กิจ ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายธนะ สหไพบูลย์กิจ กับพวก จำเลย ดังนั้น สัญญาจะซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทจึงยังมีผลผูกพันกันอยู่ระหว่างจำเลยกับทายาทหรือผู้จัดการมรดกของผู้ตาย
ที่จำเลยฎีกาต่อมาว่าจำเลยไม่เคยมีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์ดังนั้นการที่โจทก์มอบให้ทนายความทำหนังสือแจ้งให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาท ถือว่าโจทก์ตั้งเงื่อนไขและเงื่อนเวลาเพียงฝ่ายเดียว ส่วนจำเลยไม่เคยสนองตอบจำเลยจึงไม่ใช่ผู้ผิดสัญญานั้น ตามปัญหาดังกล่าวจำเลยได้ยกขึ้นโต้เถียงเป็นประเด็นในชั้นอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยให้เป็นการไม่ชอบการที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยให้ถือว่าเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยให้ เห็นว่าแม้โจทก์จะไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับจำเลยแต่โจทก์ก็ดำเนินการในฐานะผู้จัดการมรดกของนางสาวพนิดา โจทก์จึงมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยในฐานะคู่สัญญากับนางสาวพนิดาปฏิบัติตามสัญญาได้ ดังนั้น หนังสือนัดโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทตามเอกสารหมาย จ.2 จึงมีผลบังคับต่อจำเลย หากจำเลยมีเหตุขัดข้องไม่อาจดำเนินการตามนัดที่ระบุในหนังสือฉบับดังกล่าว จำเลยก็มีสิทธิที่จะแจ้งโจทก์เพื่อขอเลื่อนไปวันอื่นได้ แต่ข้อเท็จจริงในคดีจำเลยไม่ได้ดำเนินการอย่างไรเลย ดังนี้ เมื่อจำเลยไม่ไปตามกำหนดนัด จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน