แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยมีเครื่องชั่งที่ผิดอัตราเพื่อเอาเปรียบในการค้า และใช้เครื่องชั่งดังกล่าวในวันเวลาเดียวกัน ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาอันเดียวกันการกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเครื่องชั่งสปริงที่ผิดอัตราไว้ในความครอบครองกล่าวคือ เมื่อใช้ชั่งน้ำหนัก 1 กิโลกรัม น้ำหนักขาด 70 กรัม และใช้เครื่องชั่งดังกล่าวชั่งสินค้าขายแก่ลูกค้าเพื่อเอาเปรียบในการค้า ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวง วัด พ.ศ. 2466 มาตรา 31, 38 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 270 และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง รับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษบทหนักที่สุดบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 270 จำคุก 3 เดือน ปรับ 3,000 บาท โทษจำรอ 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทน ริบของกลาง
โจทก์อุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดสองกรรม ขอให้เรียงกระทงลงโทษ และไม่ควรรอการลงโทษจำเลย
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวแต่ตามพฤติการณ์ไม่ควรรอการลงโทษ พิพากษาแก้เป็นว่าให้ลงโทษจำคุกจำเลย 3 เดือนโดยไม่ปรับและไม่รอการลงโทษ รับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 เดือน 15 วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘ที่โจทก์ฎีกาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดสองกรรม เพราะการที่จำเลยมีเครื่องชั่งที่ผิดอัตราย่อมเป็นความผิดกรรมหนึ่งเด็ดขาดไปแล้ว เมื่อจำเลยนำเครื่องชั่งดังกล่าวมาใช้ทำการชั่งหัวสุกรชำแหละจำหน่ายแก่ผู้ซื้อน้ำหนักขาดไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่งต่างหาก นั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่จำเลยมีเครื่องชั่งที่ผิดอัตราเพื่อเอาเปรียบในการค้า และใช้เครื่องชั่งดังกล่าวในวันเวลาเดียวกัน ย่อมถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาอันเดียวกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้วฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น’
พิพากษายืน.