คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 392/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

มารดาจำเลยทำพิธีและทำหนังสือยกให้(แฮเบ๊าะ)ที่ดินพิพาทแก่จำเลยตามศาสนาอิสลามแล้วจึงไม่มีสิทธินำที่ดินพิพาทไปยกให้ฮ. หรือขายให้ม. และม. ก็ไม่มีสิทธิขายให้แก่โจทก์หลังจากโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทแล้วจำเลยโต้แย้งสิทธิการครอบครองตลอดมาหาได้สละสิทธิการครอบครองไม่ฉะนั้นการที่จำเลยเข้าครอบครองที่ดินพิพาทโดยยึดถือเพื่อตนตั้งแต่ได้รับการยกให้การยกให้มีผลสมบูรณ์ทันทีจำเลยย่อมได้สิทธิครอบครอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินส่วนหนึ่งตาม ส.ค.1เลขที่ 17 หมู่ที่ 2 ตำบลเบตง อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ครึ่ง พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างเป็นบ้านอยู่อาศัย2 หลัง โดยโจทก์ซื้อที่ดินพร้อมบ้านดังกล่าวจากนางมีเน๊าะ กาลูปังเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2535 ในราคา 36,000 บาท จำเลยและบริการอาศัยอยู่ในบ้านเลขที่ 26 หลังใหม่ซึ่งอยู่ในที่ดินดังกล่าวโจทก์ได้เข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตลอดมา จำเลยทราบดีไม่ทักท้วง แต่ไม่ยอมออกไป โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทราบหลายครั้งแล้วแต่จำเลยกลับเพิกเฉยไม่ยอมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากบ้านดังกล่าว ขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินพิพาทและบ้านเลขที่ 26 ให้จำเลยส่งมอบบ้านพร้อมทั้งที่ดินคืนให้โจทก์ ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้ามาเกี่ยวข้องกับบ้านและที่ดินดังกล่าว กับให้จำเลยชำระค่าเสียหายจำนวน 6,000 บาทพร้อมทั้งค่าเสียหายเป็นรายเดือน ๆ ละ 500 บาท แก่โจทก์ นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจำเลยจะยอมออกจากบ้านและที่ดินดังกล่าว
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของและไม่เคยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท นางมีเน๊าะ กาลูปัง ไม่ใช่เจ้าของหรือเคยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทจึงไม่มีสิทธิที่นำที่ดินพิพาทไปขายหรือโอนสิทธิครอบครองให้แก่ผู้ใด จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท โดยได้รับการยกให้จากนางมูเนาะ ตอกอมารดาจำเลยตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม 2500 ซึ่งนับแต่นั้นมาจำเลยก็ได้ครอบครองดูแลและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแต่ผู้เดียวมาโดยตลอดติดต่อกันมาจนกระทั่งปัจจุบันเป็นเวลากว่า 36 ปี โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว โจทก์ฎีกาข้อแรกว่าหนังสือยกให้ของนางมูเนาะหรือหะยีมูเนาะ ตอกอ มารดาจำเลยเอกสารหมาย จ.2 ในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 19/2536 ของศาลชั้นต้นไม่มีผลตามกฎหมาย นางมูเนาะหรือหะยีมูเนาะนำที่ดินพิพาทไปขายให้บุคคลอื่น จำเลยก็ทราบและไม่คัดค้านเป็นการยินยอมโดยปริยายทั้งจำเลยได้สละสิทธิครอบครองแล้ว ข้อนี้โจทก์เบิกความเป็นพยานว่าเมื่อซื้อที่ดินพิพาทจากนางมีเน๊าะ กาลูปัง แล้วมอบให้นายบาราเฮง นางอาตีเมาะ และนายเย๊าะฮายอหรืออูเซ็งดูแลและเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ก่อนซื้อที่ดินพิพาทจะมีบุคคลใดอยู่มาก่อนหรือไม่ ไม่ทราบ นายบาราเฮง โต๊ะนาวา พ่อตาโจทก์เบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า เมื่อปี 2530 ได้ย้ายไปอยู่บ้านเลขที่ 26โดยขออนุญาตนางมีเน๊าะ กาลูบัง เจ้าของที่ดิน ระหว่างนั้นเคยเห็นจำเลยมานาน ๆ ครั้ง หลังจากซื้อที่ดินพิพาทได้เพียง 9 วันบิดามารดาของภริยาบอกว่ามีคนมาไล่ และเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า เมื่อปี 2535 นายเย๊าะฮายอตัดกิ่งส้มโอในที่ดินพิพาทจำเลยไปแจ้งความ นางมีเน๊าะ กาลูปัง เบิกความเป็นพยานโจทก์ว่าเมื่อปี 2523 นายอูเซ็งกับนางหะยีมูเนาะมาบอกขายที่ดินพิพาทให้พยานได้ทำสัญญาซื้อขายกันตามเอกสารหมาย จ.2 หลังจากขายแล้วนางหะยีมูเนาะยังคงอยู่ในที่ดินพิพาท ต่อมานายบาราเฮงมาขออยู่ในที่ดินพิพาท จำเลยเคยมาขอซื้อที่ดินพิพาทแต่พยานไม่ขาย ต่อมานายบาราเฮงขอซื้อที่ดินพิพาทเพื่อให้บุตร นายอำพล อาแวพยานโจทก์อีกปากหนึ่งเบิกความว่า เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2519นางมูเนาะหรือหะยีมูเนาะ และจำเลยมาที่บ้านขอให้พยานเขียนหนังสือมอบอำนาจตามเอกสารหมาย จ.1 เมื่อเขียนเสร็จนางมูเนาะหรือหะยีมูเนาะได้พิมพ์ลายนิ้วมือในช่องผู้มอบอำนาจ ซึ่งด้านหลังเอกสารหมาย จ.1 ระบุว่า ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้มีต้นมะพร้าวอยู่ 1 ต้น ของจำเลย จำเลยเบิกความเป็นพยานว่านางมูเนาะหรือหะยีมูเนาะมารดาจำเลยยกที่ดินพิพาทให้จำเลยเมื่อวันที่23 มกราคม 2500 โดยทำพิธียกให้ตามศาสนาอิสลาม มีการจับมือมารดาพูดยกให้ และทำเป็นหนังสือยกให้ตามเอกสารหมาย จ.2 ในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 19/2536 ของศาลชั้นต้น จำเลยได้ทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา เมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2536 คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดยะลาชี้ขาดว่าหนังสือยกให้สมบูรณ์ถูกต้อง โดยจำเลยมีนายหะยีอิบรอเฮม ดาเด๊ะ ผู้รักษาการแทนคณะกรรมการแทนอิสลามประจำจังหวัดยะลามาเบิกความสนับสนุนว่า นายบาราเฮงมาร้องเรียนว่าหนังสือแฮเบ๊าะ (คือหนังสือยกให้) ของจำเลยไม่ถูกต้องพยานจึงนัดคู่กรณีไปพบกัน จำเลยนำเอกสารหมาย จ.2 ในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 19/2536 ของศาลชั้นต้นมาให้ดู ส่วนอีกฝ่ายนำเอกสารหมาย จ.1 มาให้ดู พยานดูแล้ว เห็นว่าหนังสือยกให้ของจำเลยถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลามแล้ว หนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.1ของนายอูเซ็ง จึงตกเป็นโมฆะ เพราะทำภายหลังหนังสือยกให้ของจำเลย เห็นว่าตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.1 ด้านหลังมีข้อความว่า “ในเนื้อที่ดังกล่าวนี้ ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้สำหรับต้นมะพร้าวมีอยู่หนึ่งต้นนั้นเป็นของนางปาตีเมาะ ดอรอฮิม”ซึ่งนายอำพล พยานโจทก์ก็เบิกความว่า ด้านหลังหนังสือดังกล่าวที่มีข้อความระบุไว้ว่าทางทิศตะวันออกเฉียงใต้มีต้นมะพร้าวอยู่ 1 ต้น ของจำเลยนั้น นางหะยีมูเนาะบอกว่าเขตต้นมะพร้าวเป็นเขตที่ดิน แสดงว่าข้อความดังกล่าวหมายความว่าต้นมะพร้าวเป็นของจำเลย จึงเจือสมกับพยานจำเลยที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยนอกจากนั้นจำเลยยังมีนายหะยีอิบรอเฮม ดาเด๊ะ ผู้รักษาการแทนคณะกรรมการอิสลามและเอกสารหมาย จ.2 ในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 19/2536 ของศาลชั้นต้นเป็นพยานสนับสนุน เชื่อได้ว่านางมูเนาะหรือหะยีมูเนาะมารดาจำเลยยกที่ดินพิพาทให้จำเลยเข้าครอบครองตั้งแต่ปี 2500 แล้ว การยกให้ย่อมมีผลสมบูรณ์ทันทีดังนั้น ที่โจทก์ฎีกาว่า หนังสือยกให้ตามเอกสารหมาย จ.2ในสำนวนคดีแพ่ง หมายเลขแดงที่ 19/2536 ของศาลชั้นต้นไม่มีผลตามกฎหมายจึงฟังไม่ขึ้น เมื่อจำเลยเข้าครอบครองที่ดินพิพาทโดยยึดถือเพื่อตน จำเลยย่อมได้สิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1367 นางมูเนาะหรือหะยีมูเนาะไม่มีสิทธินำที่ดินพิพาทไปยกให้นายเย๊าะฮายอหรืออูเซ็งหรือขายให้นางมีเน๊าะ กาลูปังและนางมีเน๊าะก็ไม่มีสิทธินำไปขายให้โจทก์ ส่วนที่นายอำพลพยานโจทก์เบิกความว่าขณะที่พยานเขียนหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.1จำเลยอยู่ด้วยไม่ได้พูดอะไร ก็เป็นคำเบิกความลอย ๆ และไม่ปรากฏว่าจำเลยลงลายมือชื่อรับรองด้วยข้อความในเอกสารดังกล่าวก็ไม่ชัดแจ้งว่าเป็นหนังสือมอบอำนาจเกี่ยวกับที่ดินพิพาทหรือไม่ เพราะด้านหลังเอกสารดังกล่าวกลับมีข้อความระบุว่าต้นมะพร้าวเป็นของจำเลยอีกด้วยข้อเท็จจริงจึงไม่พอฟังว่า จำเลยรู้เห็นยินยอมให้นางมูเนาะหรือหะยีมูเนาะมารดานำที่ดินพิพาทไปมอบให้นายอูเซ็งจัดการตามข้อความสนเอกสารหมาย จ.1 อีกประการหนึ่งนายบาราเฮง โต๊ะนาวาพยานโจทก์ เบิกความว่า หลังจากซื้อที่ดินพิพาทได้เพียง 9 วันบิดามารดาของภริยาพยานบอกว่ามีคนมาไล่ และเมื่อปี 2535นายเย๊าะฮายอ ตอกอ ได้ตัดกิ่งส้มโอในที่ดินพิพาท จำเลยก็ไปแจ้งความ แสดงว่าหลังจากโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทแล้ว จำเลยโต้แย้งสิทธิครอบครองของโจทก์ตลอดมา ส่วนที่นางมีเน๊าะ กาลูปังพยานโจทก์เบิกความว่า จำเลยเคยมาขอซื้อที่ดินพิพาทคืน ก็เป็นคำเบิกความลอย ๆ ไม่มีพยานสนับสนุนไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อ ตามคำฟ้องของโจทก์เองก็ยอมรับว่าจำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทก่อนที่โจทก์จะซื้อจากนางมีเน๊าะ ข้อเท็จจริงจึงไม่พอฟังว่า จำเลยสละสิทธิครอบครองดังที่โจทก์ฎีกา ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share