คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 498/2534

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยและจำเลยร่วมเป็นสามีภรรยากันตามกฎหมาย จำเลยขายฝากทรัพย์ที่เป็นสินสมรสไว้แก่โจทก์โดยจำเลยร่วมมิได้รู้เห็นยินยอมด้วย การที่จำเลยร่วมทราบเรื่องการขายฝากแล้วได้ติดต่อขอซื้อทรัพย์ดังกล่าวคืนจากโจทก์เป็นเรื่องที่จำเลยร่วมติดตามเอาทรัพย์ของตนคืนถือไม่ได้ว่าเป็นการชำระหนี้หรือเรียกทวงให้ชำระหนี้อันจะถือเป็นการให้สัตยาบันแก่การขายฝาก และที่จำเลยร่วมทราบแล้วไม่ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาขายฝากก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการให้สัตยาบันเช่นเดียวกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยนำที่ดินซึ่งจำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมส่วนของจำเลยพร้อมบ้าน จดทะเบียนขายฝากไว้แก่โจทก์ ครบกำหนดแล้วจำเลยมิได้ไถ่ถอน ขอให้พิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านและที่ดินดังกล่าว จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์หลอกลวงให้จำเลยทำสัญญาขายฝาก โดยโจทก์รับจะเป็นผู้ติดต่อให้จำเลยไปทำงานที่ประเทศซาอุดิอาระเบียแล้วไม่ส่งไปจริง โจทก์นำเอาหนี้ผิดกฎหมายมาบังคับจำเลยโดยอาศัยสัญญาขายฝาก สัญญาขายฝากเป็นโมฆะเพราะไม่มีหนี้จริง ทรัพย์สินที่ขายฝากเป็นสินสมรส นางวาสนา สิงหเสนีย์ภรรยาจำเลยมิได้ให้ความยินยอมในการทำสัญญาขายฝาก และเมื่อนางวาสนาทราบเรื่องก็มิได้ให้สัตยาบัน การขายฝากไม่สมบูรณ์ขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์คืนบ้านและที่ดินตามสัญญาขายฝากให้แก่จำเลยและนางวาสนา นางวาสนา สิงหเสนีย์ ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วม อ้างว่า จำเลยซึ่งเป็นสามีผู้ร้องทำสัญญาขายฝากโดยผู้ร้องมิได้ยินยอมและมิได้ให้สัตยาบัน ศาลชั้นต้นอนุญาต โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ทรัพย์สินที่ขายฝากเป็นของจำเลยผู้เดียวไม่ใช่สินสมรส ขอให้ยกฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยพร้อมทั้งบริวารออกจากบ้านและที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ 25665 อยู่ตำบลบ้านเลื่อม อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินออกจากบ้านและที่ดิน พร้อมทั้งส่งมอบบ้านและที่ดินคืนให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ห้ามจำเลยพร้อมทั้งบริวารเกี่ยวข้องกับบ้านและที่ดินดังกล่าวอีกต่อไป ฟ้องแย้งของจำเลยให้ยกเสียจำเลยและจำเลยร่วมอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ให้โจทก์ยินยอมให้จำเลยและจำเลยร่วมไถ่ถอนการขายฝากรายนี้ได้ในราคาที่ขายฝาก หากโจทก์ไม่ยอมดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษานี้เป็นความยินยอมของโจทก์ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยและจำเลยร่วมเป็นสามีภรรยากัน ทรัพย์พิพาทเป็นสินสมรส จำเลยได้ขายฝากไว้แก่โจทก์และจำเลยได้รับเงินค่าขายฝาก 27,850 บาทการขายฝากรายนี้จำเลยร่วมมิได้รู้เห็นยินยอมด้วย เมื่อจำเลยร่วมทราบเรื่องการขายฝากแล้วได้ไปติดต่อเรื่องที่ดินและบ้านกับโจทก์แต่ตกลงกันไม่ได้ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงประการเดียวว่า จำเลยร่วมได้ให้สัตยาบันอันจะทำให้สัญญาขายฝากมีผลสมบูรณ์หรือไม่ ซึ่งในประเด็นดังกล่าวจำเลยและจำเลยร่วมนำสืบก่อนว่าจำเลยร่วมได้ไปติดต่อกับโจทก์เพื่อขอซื้อที่ดินและบ้านจากโจทก์ในราคา 38,000 บาท แต่โจทก์ไม่ตกลง ส่วนโจทก์นำสืบว่าจำเลยร่วมเคยมาขอไถ่ถอนที่ดินและบ้านโดยเสนอราคา 38,000 บาทแต่โจทก์คิดราคา 40,000 บาท เพราะเป็นสิทธิของโจทก์ที่จะขายหรือไม่ก็ได้
พิเคราะห์แล้ว โจทก์จำเลยต่างนำสืบรับกันว่า จำเลยร่วมได้มาติดต่อเรื่องที่ดินและบ้านที่จำเลยขายฝากไว้กับโจทก์ภายหลังจากครบกำหนดเวลาไถ่คืนแล้ว ดังนั้น จึงฟังได้ว่าจำเลยร่วมได้ติดต่อขอซื้อที่ดินและบ้านคืนจากโจทก์ แม้โจทก์จะเบิกความโดยใช้คำว่าขอไถ่ถอน แต่ก็ได้อ้างว่าเป็นสิทธิของโจทก์ที่จะขายหรือไม่ก็ได้ ซึ่งก็มีความหมายว่าจำเลยร่วมมาขอซื้อคืนนั่นเอง ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่าการที่จำเลยร่วมซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินและบ้านที่ขายฝากร่วมกับจำเลยได้ติดต่อขอซื้อทรัพย์ดังกล่าวคืนจากโจทก์เช่นนี้ กรณีเป็นเรื่องที่จำเลยร่วมติดตามเอาทรัพย์ของตนคืน หาใช่เป็นการชำระหนี้หรือเรียกทวงให้ชำระหนี้อันจะถือได้ว่าเป็นการให้สัตยาบันแต่อย่างใดไม่ ทั้งการที่จำเลยร่วมซึ่งได้ทราบว่าจำเลยขายฝากทรัพย์สินแก่โจทก์ไม่ว่าจะทราบก่อนครบสัญญาหรือภายหลังครบสัญญาแล้ว โดยจำเลยร่วมมิได้ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาขายฝากดังกล่าว ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการให้สัตยาบันเช่นเดียวกัน”
พิพากษายืน

Share