คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1776/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนที่โจทก์ฟ้องจำเลยได้ถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่าโจทก์ให้จำเลยเช่าที่ดินพิพาทเพื่อทำนาจำเลยย่อมได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524เมื่อโจทก์บอกยกเลิกการเช่าโดยมิได้ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวจึงไม่มีอำนาจฟ้องภายหลังคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วโจทก์ได้ฟ้องจำเลยเกี่ยวกับที่ดินพิพาทเป็นคดีนี้อีกโดยบรรยายฟ้องว่าโจทก์ได้บอกเลิกการเช่าที่ดินให้ถูกต้องตามพระราชบัญญัติเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524แต่จำเลยไม่ยอมออกจากที่เช่าประเด็นวินิจฉัยในคดีนี้จึงเป็นเหตุแตกต่างจากคดีก่อนไม่เป็นฟ้องซ้ำ จำเลยโต้แย้งเรื่องการที่โจทก์ไม่ส่งสำเนาหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าเอกสารหมายจ.2ให้จำเลยในชั้นพิจารณาเป็นการฝ่าฝืนมาตรา90แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งแต่เมื่อคดีนี้มีประเด็นเรื่องการบอกเลิกการเช่าเป็นประเด็นสำคัญเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลมีอำนาจที่จะรับฟังพยานเอกสารหมายจ.2ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา87(2)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทจำเลยเช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์ ครั้นครบกำหนดตามสัญญาเช่าจำเลยยังทำนาต่อไปและไม่ส่งมอบที่ดินพิพาทคืนโจทก์ รวมค้างค่าเช่านา16,000 บาท โจทก์มีหนังสือบอกเลิกการเช่านาไปยังจำเลยและแจ้งต่อประธานคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลหูกวาง คณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเรียกประชุมแล้วมีมติให้จำเลยส่งมอบที่ดินพิพาทคืนให้แก่โจทก์จำเลยไม่ส่งมอบที่ดินพิพาทคืน แต่กลับทำลายคันนา ทำให้โจทก์เสียหายขอให้ขับไล่จำเลยพร้อมบริวารออกจากที่ดินพิพาท ให้จำเลยชำระค่าเช่านาที่ค้างและค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ได้ขายที่ดินพิพาทให้จำเลยโจทก์มิได้บอกเลิกการเช่าเป็นหนังสือจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์>เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1277/2531 ของศาลชั้นต้นของให้ยกฟ้อง และพิพากษาว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยทำนาในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิการเช่า โจทก์ไม่เคยขายที่ดินพิพาทให้ ทั้งได้บอกเลิกการเช่าเป็นหนังสือแล้ว คดีนี้กับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1277/2531 ของศาลชั้นต้นมีประเด็นต่างกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ และไม่ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทกับให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกมีว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นการฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1277/2531 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า เมื่อตรวจดูสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1277/2531 ของศาลชั้นต้นแล้วคดีดังกล่าวถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่า โจทก์ได้ทำสัญญาให้จำเลยเช่าที่ดินพิพาทเพื่อทำนา จำเลยย่อมได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 เมื่อโจทก์บอกเลิกการเช่าโดยมิได้ปฏิบัติตามความในมาตรา 34 และมาตรา 36 จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ภายหลังจากคดีดังกล่าวสิ้นสุดลงแล้ว โจทก์ได้ฟ้องจำเลยเกี่ยวกับที่ดินพิพาทเป็นคดีนี้โดยบรรยายฟ้องว่าโจทก์ได้บอกเลิกการเช่าให้ถูกต้องตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 แต่จำเลยไม่ยอมออกจากที่เช่าโจทก์นำมาฟ้องเป็นคดีนี้ ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในคดีนี้จึงเป็นเหตุแตกต่างจากคดีก่อนไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ที่จำเลยโต้แย้งเรื่องการที่โจทก์ไม่ส่งสำเนาเอกสารหมายจ.2 ให้จำเลยในชั้นพิจารณานั้น เห็นว่า แม้โจทก์จะมิได้ส่งสำเนาเอกสารหมาย จ.2 เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 90 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แต่เมื่อคดีนี้มีประเด็นเรื่องการบอกเลิกการเช่าเป็นประเด็นสำคัญ ดังนั้น เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลมีอำนาจที่จะรับฟังพยานเอกสารฉบับนี้ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2)
พิพากษายืน

Share