คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 392/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 มิได้บัญญัติให้อำนาจพนักงานอัยการเรียกทรัพย์สินหรือราคาคืนแทนผู้เสียหายในคดีอาญาฐานโกงเจ้าหนี้
ฟ้องไม่ปรากฏว่าในการที่จำเลยที่ 1 โอนขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2,3 นั้นจำเลยได้กระทำโดยรู้ว่าเจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ ไม่ครบองค์ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350
ผู้เสียหายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับอัยการโดยขอถือเอาคำฟ้องของอัยการเป็นคำฟ้องของโจทก์ร่วมด้วยฉะนั้น เมื่อศาลพิพากษายกฟ้อง จึงหมายความว่าได้ยกฟ้องของโจทก์ร่วมด้วย ศาลจึงใช้ดุลพินิจกำหนดให้โจทก์ร่วมใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยได้แม้จะไม่ได้วินิจฉัยคดีทางแพ่งด้วยก็ตาม
เมื่อโจทก์นำสืบ จำเลยมิได้ถามค้านความข้อใดไว้ แล้วจำเลยมานำสืบพิสูจน์ภายหลังในความข้อนั้นโจทก์ก็ชอบที่จะโต้แย้งและขอให้ศาลจดข้อโต้แย้งนั้นไว้การที่โจทก์เพิ่งมาคัดค้านในชั้นอุทธรณ์จึงต้องห้าม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 กู้เงินนางสมจิตต์ วุฒิเสถียรไป 30,000 บาท และนำใบแทนใบสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินกับสำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดินหนึ่งแปลงมอบให้เป็นประกัน เมื่อถึงกำหนดชำระต้นเงินคืนจำเลยที่ 1 ขอผัดผ่อน นางสมจิตต์ก็ยอมให้ผัด ต่อมานางสมจิตต์พูดกับจำเลยทั้งสามว่า ที่ดินที่จำเลยที่ 1 นำมาประกันเงินกู้ไว้นั้นถ้าจำเลยที่ 2, 3 จะรับซื้อไว้ก็ขอให้บอกด้วย เพื่อได้มาคัดค้านหรือขอรับชำระหนี้ ต่อมาจำเลยที่ 1 บังอาจโอนขายที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2, 3 โดยไม่บอกกล่าวให้นางสมจิตต์ทราบ ทั้งนี้โดยจำเลยทั้งสามร่วมกันมีเจตนาเพื่อจะมิให้นางสมจิตต์ได้รับชำระหนี้หรือใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ โดยจำเลยที่ 1 ไม่มีที่ดินแห่งใดอีก นางสมจิตต์ร้องทุกข์แล้ว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350, 83 และขอให้จำเลยทั้งสามใช้ต้นเงิน 30,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่นางสมจิตต์ด้วย

นางสมจิตต์ ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับอัยการโดยเสียค่าธรรมเนียมเป็นคดีอาญาสินไหม ขอถือเอาคำฟ้องของอัยการเป็นฟ้องของผู้เสียหายด้วย ศาลอนุญาต

จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้ว่า เมื่อหนี้ถึงกำหนด โจทก์ร่วมยอมให้เลื่อนกำหนดชำระไปโดยไม่จำกัดเวลาและจากนั้นก็มิได้บอกกล่าวกำหนดเวลาให้ชำระหนี้ การโอนขายของจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 เป็นไปโดยสุจริต

จำเลยที่ 2 ให้การว่า รับซื้อที่ดินไว้โดยสุจริต มิได้เจตนามิให้โจทก์ร่วมได้รับชำระหนี้

จำเลยที่ 3 ให้การว่า มิได้เป็นผู้โอนหรือรับโอนทรัพย์จากจำเลยที่ 1

จำเลยทั้งสามให้การด้วยว่า อัยการโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกต้นเงินกู้และดอกเบี้ยแทนผู้เสียหายและฟ้องไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและให้โจทก์ร่วมเสียค่าทนาย 500 บาทกับค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย

โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกาในข้อกฎหมาย

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติความผิดฐานฉ้อโกงและความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ไว้ต่างหมวดกัน มิได้รวมไว้ในหมวดเดียวกันดังกฎหมายลักษณะอาญา และความผิดฐานฉ้อโกงกับฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญามีองค์ประกอบความผิดต่างกันด้วย จึงเห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 มิได้บัญญัติให้อำนาจพนักงานอัยการเรียกทรัพย์สินหรือราคาคืนแทนผู้เสียหายในคดีอาญาฐานโกงเจ้าหนี้

ฟ้องของโจทก์ไม่ปรากฏว่า ในการซื้อขายที่ดินนั้น จำเลยได้กระทำโดยรู้ว่าเจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ไม่ครบองค์ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350

คดีนี้ โจทก์ร่วมได้ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการโดยขอถือเอาคำฟ้องของอัยการเป็นคำฟ้องของโจทก์ร่วมด้วย ฉะนั้นเมื่อศาลพิพากษายกฟ้อง จึงหมายความว่าได้ยกฟ้องของโจทก์ร่วมด้วยศาลจึงอาจใช้ดุลพินิจกำหนดให้โจทก์ร่วมใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยได้ แม้จะไม่ได้วินิจฉัยคดีทางแพ่งด้วยก็ตาม

ที่โจทก์ร่วมฎีกาว่า เมื่อโจทก์นำสืบ จำเลยมิได้ถามค้านเรื่องจำเลยได้นำเงินไปผ่อนชำระให้โจทก์ แล้วจำเลยมานำสืบพิสูจน์ภายหลังจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 89 นั้นเห็นว่าเป็นการโต้แย้งการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ชอบที่โจทก์ร่วมจะขอให้ศาลจดข้อโต้แย้งนั้นไว้ การที่โจทก์ร่วมเพิ่งมาคัดค้านในชั้นอุทธรณ์เช่นนี้ จึงต้องห้ามตามมาตรา 226(2)

พิพากษายืน

Share