คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2115/2533

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยกระทำอนาจารโดยอุ้มผู้เสียหายเข้าไปในป่าแล้วกอดจูบผู้เสียหาย หลังจากนั้นได้อุ้มผู้เสียหายต่อไปอีกแล้วพยายามกระทำชำเราผู้เสียหาย แม้จะมีระยะทางห่างกันถึง 20 เส้นแต่ก็เป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันโดยความมุ่งหมายที่จะกระทำชำเราผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2528 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยกระทำอนาจารแก่เด็กหญิงเกษร ทองไทย อายุ9 ปีเศษผู้เสียหาย โดยใช้มือปิดตาและอุ้มผู้เสียหายเข้าไปในป่าข้างทาง แล้วกอดจูบผู้เสียหายและให้ผู้เสียหายดูดอวัยวะเพศของจำเลยหลังจากนั้นจำเลยอุ้มผู้เสียหายเข้าไปในป่าลึกเข้าไปอีก แล้วใช้กำลังกอดปล้ำกระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งมิใช่ภรรยาของตนหลายครั้ง จนอวัยวะเพศของผู้เสียหายฉีกขาด บวมช้ำ แต่กระทำไม่ตลอด เนื่องจากอวัยวะเพศของผู้เสียหายเล็กมาก อวัยวะเพศของจำเลยไม่สามารถเข้าไปได้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277, 279, 80, 91 จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277, 279, 80, 91(แก้ไขใหม่) เป็นความผิดหลายกรรมต่างวาระกัน ให้เรียงกระทงลงโทษฐานอนาจารให้จำคุก 4 ปี ฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเรา จำคุก 6 ปีรวมเป็นจำคุก 10 ปี จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในคืนวันที่ 5ธันวาคม 2528 มีงานเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่วัดท่าตะโก นายพุฒบิดาผู้เสียหายเป็นกรรมการจัดงานคนหนึ่งส่วนนางสำอางมารดาผู้เสียหายมีหน้าที่หุงหาอาหารที่บ้านนายขจรเพื่อเลี้ยงกรรมการ ผู้เสียหายซึ่งไปเที่ยวงานจับฉลากได้ข้าวสาร 1 ถุง จะนำไปให้มารดาที่บ้านนายขจรแต่ไม่พบ จึงกลับมาที่วัด ระหว่างทางคนร้ายจับผู้เสียหายใช้มืออุดปากอุ้มผู้เสียหายเข้าไปในป่าข้างทางแล้วถอดกางเกงของผู้เสียหายและของตนออกแล้วกอดจูบผู้เสียหาย แต่คนร้ายเห็นว่าที่ตรงนั้นใกล้ทางเดินเกินไปจึงอุ้มผู้เสียหายต่อเข้าไปอีกประมาณ 20 เส้น หลังจากนั้นได้ขึ้นนอนทับผู้เสียหาย จับอวัยวะเพศของตนยัด ใส่ในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย กระแทก 4-5 ครั้ง จนเลือดออกจากอวัยวะเพศของผู้เสียหายแต่ไม่เข้า คนร้ายจึงเอาอวัยวะเพศของตนยัดใส่ปากผู้เสียหายลึกถึงคอ แล้วกระแทก 3 ครั้ง เสร็จแล้วคนร้ายได้นุ่งกางเกงและให้ผู้เสียหายนุ่งกางเกงด้วย แล้วนำผู้เสียหายมาส่งที่ทางเดินบอกให้ผู้เสียหายกลับบ้าน ห้ามไม่ให้แจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้เสียหายได้วิ่งไปที่บ้านนางสมนึกบอกว่าถูกข่มขืนกระทำชำเราจึงมีผู้นำความไปแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจและบิดามารดาผู้เสียหายเมื่อพบบิดามารดาแล้วผู้เสียหายเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังเกิดเหตุแล้วผู้เสียหายอาเจียน ปวดหัว เจ็บคอ บริเวณรอบช่องคลอดมีรอยบวมแดง ริมฝีปากบวม คอแดง รายละเอียดปรากฏตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารหมาย จ.6 รุ่งขึ้นจ่าสิบตำรวจสมพงษ์ ครองสัตย์ จับจำเลยส่งร้อยตำรวจตรีชนะชัยลิ้มประเสริฐ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอลาดยาวหาว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้ คดีมีปัญหาตามที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยเป็นคนร้ายหรือไม่ ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า ผู้เสียหายกับจำเลยเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน ผู้เสียหายเคยเห็นและรู้จักจำเลยมาก่อน คืนเกิดเหตุผู้เสียหายเห็นและจำได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายกระทำอนาจารและพยายามข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย
จำเลยนำสืบอ้างฐานที่อยู่
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว โจทก์มีผู้เสียหายเป็นพยาน เห็นว่าแม้เหตุจะเกิดในเวลากลางคืน แต่ตามพฤติการณ์ในคดีเห็นได้ว่าผู้เสียหายเห็นคนร้ายในระยะใกล้เป็นเวลานาน เมื่อจำเลยกับผู้เสียหายเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน และรู้จักกันมาก่อน คำเบิกความของผู้เสียหายที่ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายจึงมีน้ำหนัก รุ่งขึ้นจากวันเกิดเหตุโจทก์มีจ่าสิบตำรวจสมพงษ์เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจเป็นพยานว่า นายพุฒบิดาผู้เสียหายไปแจ้งว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้ แล้วนำจ่าสิบตำรวจสมพงษ์ไปจับจำเลยโดยผู้เสียหายเป็นคนชี้ให้จับ หลังจากนั้นโจทก์มีร้อยตำรวจตรีชนะชัยเป็นพยานว่า นายพุฒนางสำอางบิดามารดาของผู้เสียหายและผู้เสียหายได้นำความเรื่องนี้ไปแจ้งต่อร้อยตำรวจตรีชนะชัยให้ดำเนินคดีแก่จำเลย ขณะมาแจ้งความจ่าสิบตำรวจสมพงษ์ได้คุมตัวจำเลยมาด้วยข้อเท็จจริงจึงเชื่อได้ว่า ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตัวจำเลยมาดำเนินคดีก็เพราะนายพุฒนำความไปแจ้งต่อจ่าสิบตำรวจสมพงษ์ แสดงว่าภายหลังเกิดเหตุเมื่อผู้เสียหายพบบิดามารดาผู้เสียหายได้แจ้งให้ทราบว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้ ดังนี้คำเบิกความของผู้เสียหายจึงมีน้ำหนักมั่นคงเชื่อถือและรับฟังเป็นความจริงได้ ที่นายพุฒนางสำอางบิดามารดาผู้เสียหายเบิกความว่าผู้เสียหายแจ้งเรื่องคนร้ายให้ทราบเพียงว่า เห็นหน้าจำได้และเจ้าหน้าที่ตำรวจจะจับจำเลยมาได้อย่างไร พยานไม่ทราบ นั้นเชื่อไม่ได้ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นนายพุฒคงไม่นำจ่าสิบตำรวจสมพงษ์ไปจับจำเลย ดังนี้ คำเบิกความของนายพุฒนางสำอางจึงหาได้ทำลายน้ำหนักของคำเบิกความของผู้เสียหายลงแต่ประการใดไม่พยานฐานที่อยู่ของจำเลยเลื่อนลอยฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ไม่ได้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยเป็นคนร้ายกระทำอนาจารและพยายามข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยได้กระทำอนาจารโดยอุ้มผู้เสียหายเข้าไปในป่าแล้วกอดจูบผู้เสียหายหลังจากนั้นได้อุ้มผู้เสียหายต่อเข้าไปอีกแล้วพยายามกระทำชำเราผู้เสียหาย แม้จะมีระยะทางห่างกันถึง 20 เส้น แต่ก็เป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันโดยความมุ่งหมายที่จะกระทำชำเราผู้เสียหายการกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท”
พิพากษากลับ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา277 วรรคแรก ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 และมาตรา 279 วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุกจำเลยมีกำหนด 8 ปี

Share