แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อความในวัตถุประสงค์ที่จดทะเบียนของสำนักงานจำเลยซึ่งเป็นนิติบุคคลมีว่า “รับประกันผู้ต้องหาชั้นสอบสวนและประกันจำเลยชั้นศาล, และประกันตัวบุคคลตามกฎหมายบัญญัติไว้” นั้นคำว่า “ประกันตัวบุคคลตามกฎหมายบัญญัติไว้” ย่อมหมายความว่าเป็นการประกันตามที่มีกฎหมายบัญญัติให้ประกันได้ เมื่อกรณีที่โจทก์ฟ้องเป็นการที่จำเลยเข้าค้ำประกันตัวบุคคลในการที่จะไปก่อความเสียหายให้กับโจทก์ กล่าวคือเป็นการประกันหนี้ในอนาคตที่บุคคลนั้นอาจไปก่อขึ้น ซึ่งมี ป.พ.พ. มาตรา 681 วรรค 2 บัญญัติไว้ให้ประกันได้ จำเลยก็ต้องรับผิดในฐานที่ได้เข้าเป็นผู้ค้ำประกันตามนั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ทำสัญญาจ้างทำเลยที่ ๑ เข้าทำงานในบริษัทโจทก์ในฐานะเป็นผู้ช่วยผู้จัดการ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ได้ทำสัญญาค้ำประกันให้โจทก์ไว้โดยยอมรับผิดชอบต่อโจทก์เป็นเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท ว่าจำเลยที่ ๑ จะปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นลูกจ้างของโจทก์ด้วยความซื่อสัตย์ ต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้เก็บเงินจากลูกค้าต่าง ๆ ของโจทก์แล้วไม่นำมาชำระให้โจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงินแก่โจทก์ ๒๗,๐๐๐ บาท ๒๕ สตางค์ กับดอกเบี้ย ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ใช้หรือไม่อาจบังคับเอกได้ ก็ให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ร่วมกันใช้เงินรายนี้แก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ต่อสู้ว่า เงิน ๑๙,๘๒๕.๒๕ บาท จำเลยเก็บจากลูกค้าที่จังหวัดเชียงใหม่แล้วถูกผู้ร้ายแย่งชิงไป ส่วนเงินอีก ๒ ราย รวม ๗,๑๘๕.๕๐ บาท จำเลยกำลังค้นหาหลักฐาน การกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นเรื่องลูกจ้างงาน เงิน ๑๙,๘๒๕.๒๕ บาท นั้น กรรมสิทธิ์ อยู่กับโจทก์ จำเลยที่ ๑ เป็นเพียงผู้รับมอบหมายให้เป็นผู้ครอบครอง แทนโจทก์เท่านั้น ที่ถูกผู้ร้ายแย่งชิงนั้น จำเลยที่ ๑ ก็มิได้เลินเล่อและไม่สามารถจะป้องกันได้ จึงไม่ต้องรับผิด
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ต่อสู้ว่า ไม่ได้ค้ำประกันจำเลยที่ ๑ ในหน้าที่เก็บเงิน และไม่อยู่ในวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ ๒ การที่จำเลยที่ ๑ ไปเก็บเงินลูกค้าที่จังหวัดลำปางเป็นการนอกหน้าที่ผิดวัตถุประสงค์ที่จำเลยที่ ๒ ค้ำประกัน
ศาลแพ่งฟังว่า จำเลยที่ ๑ เก็บเงินจากลูกค้าของโจทก์รวม ๒๖,๙๐๑.๒๕ บาท แล้วไม่ส่งมอบแก่โจทก์ ส่วนความรับผิดของจำเลยที่ ๒ นั้น ศาลแพ่งพิจารณาว่ามี ๒ ประเด็น ข้อต้น การที่จำเลยที่ ๒ โดยผู้จัดการคือจำเลยที่ ๓ ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ ๑ ต่อโจทก์เป็นการที่อยู่ในวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ ๒ ข้อที่ ๒ โจทก์ให้จำเลยที่ ๑ ปฏิบัติหน้าที่ และให้ไปเก็บเงินหนี้ที่จังหวัดลำปางไม่เป็นการนอกหน้าที่ผิดวัตถุประสงค์ที่จำเลยที่ ๒ ค้ำประกัน จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันสำหรับจำเลยที่ ๓ นั้นได้ลงลายมือชื่อในฐานะเป็นผู้จัดการสำนักงาน จ.ฟ.ล. จำเลย ที่ ๒ จำเลยที่ ๓ ไม่ได้ทำในฐานะส่วนตัวจึงไม่ต้องรับผิด
ศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงินแก่โจทก์รวม ๒๖,๙๐๑ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ย ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ใช้ ให้จำเลยที่ ๒ ใช้แทนจนครบ ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๓
จำเลขที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาข้อความในวัตถุประสงค์ที่จดทะเบียนของสำนักงาน จ.ฟ.ล. จำเลยที่ ๒ ซึ่งมีว่า “รับประกันผู้ต้องหาชั้นสอบสวนและประกันจำเลย ชั้นศาล และประกันตัวบุคคลตามกฎหมายบัญญัติไว้” แล้ว เห็นว่า การประกันตัวจำเลยที่ ๑ เป็นเรื่องที่จำเลยที่ ๓ ทำนอกเหนือเกินขอบเขตวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิด
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องโจทก์ เฉพาะที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒
ผู้พิพากษาอุทธรณ์นายหนึ่งมีความเห็นแย้งว่า ควรพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเห็นว่าการประกันรายนี้ไม่ใช่อยู่นอกขอบวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ ๒
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ประเด็นสำคัญแห่งคดีมีว่า กระประกัน รายนี้อยู่นอกวัตถุที่ประสงค์ของจำเลยที่ ๒ หรือไม่ ข้อความสำคัญในวัตถุประสงค์ที่จดทะเบียน ของจำเลยที่ ๒ มีอยู่ว่า” ประกันตัวบุคคลตามกฎหมายบัญญัติไว้” ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่าต้องตีความว่าเป็นการประกันตามทีมีกฎหมายบัญญัติให้ประกันกันได้ กรณีที่โจทก์ฟ้องนี้ เป็นการประกันตัวบุคคลในการที่ไปก่อนความเสียหายให้กับโจทก์ กล่าวคือเป็นการประกันหนี้ในอนาคตที่บุคคลนั้นอาจไปก่อขึ้น ซึ่งได้มีกฎหมายบัญญัติไว้ให้ประกันกันไว้ ดังที่ปรากฏใน ป.พ.พ. มาตรา ๖๘๑ วรรค ๒
ศาลฎีกาพิจารณาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น