คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 392/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ชาวบ้านประชุมกันนมัสการถวายต้นดอกไม้และปราสาทผึ้งต่อพระภิกษุเจ้าอาวาส จำเลยเข้าไปด่าพระภิกษุ และเอาปราสาทผึ้งไปเตะเล่น เป็นความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา173 แต่ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 207 ซึ่งมีอัตราโทษเบากว่า

ย่อยาว

คดีนี้ เดิมโจทก์ฟ้องว่า จำเลยสมคบกันกระทำผิดต่อกฎหมายหลายบทหลายกระทง บางกระทงยุติเพียงศาลอุทธรณ์ คงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะข้อหาว่า เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2498 เวลากลางคืนระหว่างที่พุทธศาสนิกชนประชุมกันนมัสการถวายต้นดอกไม้และปราสาทผึ้งต่อพระภิกษุเคน สุนทะโร เจ้าอาวาสวัดกุดแข้ จำเลยบังอาจเสพสุรามึนเมาเข้าไปในบริเวณวัดแล้วขึ้นบนกุฎีพระภิกษุเคนเอาต้นดอกไม้และปราสาทผึ้งซึ่งพุทธศาสนิกชนถวายพระภิกษุเคนลงไปที่พื้นดิน ใช้เท้าถีบเตะต้นดอกไม้และปราสาทผึ้งเสียหายคิดเป็นเงิน 65 บาท โดยจำเลยมิได้มีอำนาจที่จะทำได้โดยชอบด้วยกฎหมายกับใช้วาจาหมิ่นประมาทซึ่งหน้าพระภิกษุเคนและว่าพระภิกษุเคนเป็นชู้กับนางเหลามารดาของนายสี จำเลย ทำให้พระภิกษุเคนได้รับความอับอายเสียชื่อเสียง เหตุเกิดที่ตำบลนางาม อำเภอเสลภูมิจังหวัดร้อยเอ็ด ขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมาย

จำเลยทุกคนปฏิเสธข้อหาโจทก์

ศาลจังหวัดร้อยเอ็ดพิจารณาแล้ว เชื่อว่าระหว่างพระภิกษุเคนกับฝ่ายจำเลยได้มีสาเหตุต่อกันในลักษณะรุนแรงมาก่อนหน้าวันเกิดเหตุแล้ว คืนวันโจทก์หาจำเลยทั้งสามได้ไปในงานวัดและขึ้นไปบนกุฎีพระภิกษุเคน ข้อความที่จำเลยกล่าวตามคำให้การของพยานโจทก์ไม่ใช่เป็นหมิ่นประมาทซึ่งหน้า แต่เป็นการหมิ่นประมาทต่อชื่อเสียงพระภิกษุเคนต่อหน้าชาวบ้านที่มาทำบุญจำนวนมากหลาย ทำให้พระภิกษุเคนเสื่อมเสียชื่อเสียง และอาจทำให้พวกชาวบ้านดูหมิ่นหรือเกลียดชังพระภิกษุเคนได้ กรณีเป็นความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 282 ไม่ใช่มาตรา 339(2) ดังฟ้อง เมื่อโจทก์มิได้ขอมาตรา 282 เป็นบทลงโทษก็ลงโทษจำเลยไม่ได้ เพราะเป็นการนอกคำขอ และจะลงโทษตามมาตรา 339(2) ก็ไม่ได้ ข้อที่พยานโจทก์ว่า จำเลยเอาต้นดอกไม้และปราสาทผึ้งไปเท่ากับเป็นการทำลายพิธีกรรมในทางศาสนาที่พวกชาวบ้านกำลังประกอบอยู่ พวกชาวบ้านคงไม่ปล่อยให้จำเลยทำเช่นนั้นไม่น่าเชื่อว่าจำเลยได้กระทำผิดดังข้อหา พิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า ที่วัดกุดแข้มีพระภิกษุองค์เดียวคือพระภิกษุเคน สุนทะโร เจ้าอาวาส อยู่กับสามเณรอีกองค์หนึ่งก่อนเกิดเหตุ 2 วัน นายสี จำเลยกล่าวหาว่า พระภิกษุเคนเป็นปราชิกได้เสียกับนางเหลา มารดาของนายสี จำเลย และเป็นแม่ยายนายสุพรม จำเลย ชาวบ้านประชุมกันลงความเห็นให้พระภิกษุเคนสึกแต่พระภิกษุเคนไม่ยอมสึก วันเกิดเหตุเป็นวันออกพรรษา เวลาประมาณ 20 น. ชาวบ้านกุดแข้ประมาณ 200 คน ได้แห่ต้นดอกไม้และปราสาทผึ้งไปยังวัดกุดแข้เอาขึ้นไปบนกุฎีพระภิกษุเคน เพื่อถวายตามพิธีกรรมทางพุทธศาสนา ขณะนั้นจำเลยทั้งสามมีอาการมึนเมาสุราขึ้นไปบนกุฎีพระภิกษุเคน นายสมพงษ์กับนายสุพรม จำเลยเข้าไปหยิบปราสาทผึ้ง ที่ชาวบ้านกำลังจะถวายพระคนละต้น นายสุพรม จำเลยพูดว่า “ให้กูยังได้บุญกว่ามัน” นายสี จำเลยว่า “ให้หมายังดีกว่าบักเคน” นายสมพงษ์ จำเลยว่า “ให้หัวมันหยัง (ทำไม) มันไม่มีศีลสักตัว” แล้วจำเลยพาปราสาทผึ้งลงไปเตะกันเล่นที่ข้างล่าง

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การที่พุทธศาสนิกชนแห่ต้นดอกไม้และปราสาทผึ้งไปวัดกุดแข้เพื่อถวายพระเป็นการประกอบพิธีกรรมในทางพุทธศาสนาและกำลังประชุมกันเพื่อทำพิธีกรรมอยู่ จำเลยทั้งสามถือเอาสาเหตุคุมแค้นพระภิกษุเคนมาก่อน ขึ้นไปกล่าววาจาหยาบด่าประจานพระภิกษุเคนแล้วเอาปราสาทผึ้งของชาวบ้านไปเตะเล่นแต่ของที่เสียหายเป็นของชาวบ้านยังมิทันถวาย จะเป็นของผู้ใดไม่ปรากฏ เมื่อผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์ โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ไม่ได้ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทซึ่งหน้าและก่อให้เกิดการวุ่นวายในขณะที่พุทธศาสนิกชนชุมนุมกันนมัสการกระทำพิธีกรรมทางศาสนา จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 173 และมาตรา 339 ข้อ 2 แต่ให้ลงโทษตาม มาตรา 173 อันเป็นบทหนัก ให้จำคุกจำเลยคนละสามเดือน นอกจากนี้คงยืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาประชุมปรึกษาคดีแล้ว ทางพิจารณาฟังได้ว่า บรรดาพยานโจทก์รู้จักจำเลยทุกคนดีอยู่ และจำเลยเคยมีสาเหตุอย่างรุนแรงกันมากับพระภิกษุเคน ถึงกับประชุมชาวบ้านออกความเห็นควรให้พระภิกษุเคนสึกจากพระ แต่มีจำนวนน้อย ส่วนข้างมากยังนับถือพระภิกษุเคนอยู่ กรณีที่พระภิกษุเคนต้องหาว่าปราชิกนั้น ทางคณะสงฆ์ไต่สวนแล้วชี้ขาดว่า พระภิกษุเคนยังบริสุทธิ์ คืนนั้นจำเลยทั้งสามได้เสพสุราจนเมาขึ้นไปเกะกะระรานถึงบนกุฎีพระภิกษุเคนต่อหน้าชุมนุมชน ซึ่งศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลล่างทั้งสองว่า พยานโจทก์จำจำเลยได้ไม่ผิด เพราะนอกจากจำเลยจะขัดขวางพิธีกรรมทางศาสนาที่พุทธศาสนิกชนกำลังประกอบอยู่แล้ว จำเลยยังกล่าววาจาหยาบคายพระภิกษุเคนต่อหน้าพระภิกษุเคนและชาวบ้านอีก ถึงพยานโจทก์จะแตกต่างกันบ้างก็เป็นพลความ อันถ้อยคำของจำเลยที่กล่าวขึ้นนั้นมีลักษณะเป็นการหมิ่นประมาทซึ่งหน้าด้วย พยานฐานที่ของจำเลยไม่สามารถหักล้างพยานโจทก์ ศาลอุทธรณ์ชี้ขาดความผิดของจำเลยไว้ชอบแล้ว

จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เว้นแต่การวางบทลงโทษจำเลยให้เปลี่ยนเป็นประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 207 ซึ่งเป็นบทที่มีอัตราโทษเบากว่ากฎหมายลักษณะอาญา

Share