คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3919/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ในระหว่างอายุสัญญาเบิกเงินบัญชีระหว่างลูกหนี้กับธนาคารผู้คัดค้าน ลูกหนี้สามารถนำเงินเข้าฝากเพื่อหักทอนบัญชีและเบิกถอนต่อไปได้ อันเป็นการเดินสะพัดทางบัญชีตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดการที่ลูกหนี้นำเงินเข้าบัญชีจึงมีลักษณะเป็นการลดหนี้ลงชั่วคราวแล้วเบิกเงินใหม่ซึ่งกระทำตลอดเวลาของอายุสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีและไม่เป็นการชำระหนี้ทีเดียวเสร็จสิ้นกันไปเลย การนำเงินเข้าบัญชีของลูกหนี้จึงเป็นการชำระหนี้เพื่อก่อหนี้ใหม่เพิ่มขึ้นอันเป็นวิธีการเพื่อจะเบิกเงินจากผู้คัดค้านได้มากยิ่งขึ้นตามประเพณีธนาคารในเรื่องบัญชีเดินสะพัดเท่านั้น การกระทำของลูกหนี้จึงมิได้มุ่งหมายให้ผู้คัดค้านซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้เปรียบเจ้าหนี้อื่นตามพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ตามทางสอบสวนของผู้ร้องปรากฏว่า ลูกหนี้ได้เปิดบัญชีกระแสรายวันเลขที่ 989 กับผู้คัดค้านสาขาทับสะแก ต่อมาวันที่ 22 ธันวาคม 2520 ลูกหนี้ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีในวงเงิน 1,000,000 บาท ระหว่างวันที่ 9 ธันวาคม2530 ถึงวันที่ 24 พฤษภาคม 2531 อันเป็นระยะเวลาภายใน 3 เดือนก่อนและหลังฟ้องให้ลูกหนี้ล้มละลาย ลูกหนี้ได้นำเงินเข้าบัญชีชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายหนึ่งรวม 51 รายการเป็นเงิน 791,197 บาท โดยมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น ซึ่งคดีนี้มีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ 5 รายเป็นเงิน 4,483,655.51 บาท ผู้ร้องรวบรวมเงินเข้ากองทรัพย์สินของลูกหนี้ได้เพียง 1,000,000 บาทเศษ ขอให้เพิกถอนการชำระหนี้ของลูกหนี้ดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115และให้ผู้คัดค้านชดใช้เงิน 791,197 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันยื่นคำร้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า การที่ลูกหนี้นำเงินเข้าฝากบัญชีนั้นมีลักษณะเป็นการลดหนี้ลงชั่วคราว แล้วเบิกถอนเงินใหม่มีจำนวนรวมกันสูงกว่าเงินลูกหนี้นำเข้าบัญชีตลอดมา การนำเงินเข้าฝากบัญชีของลูกหนี้เป็นวิธีการที่จะเบิกเงินจากผู้คัดค้านให้มากขึ้น หาใช่เป็นการชำระหนี้ทีเดียวเสร็จสิ้นไม่ แต่เป็นการชำระหนี้เพื่อก่อหนี้ขึ้นใหม่เพิ่มขึ้นอีกหลายครั้งหลายคราว ดังนั้น การกระทำของลูกหนี้จึงไม่เป็นการมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้อื่นขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่ผู้ร้องและคัดค้านนำสืบรับกันว่า ลูกหนี้ได้เปิดบัญชีกระแสรายวันเลขที่ 989 โดยทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีผ่านบัญชีดังกล่าวกับผู้คัดค้าน สาขาทับสะแก ในวงเงิน 1,000,000 บาท ตามเอกสารหมาย ร.1 ระหว่างอายุสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2530 ถึงวันที่24 พฤษภาคม 2531 อันเป็นระยะเวลาสามเดือนก่อนมีการขอให้ลูกหนี้ล้มละลายและภายหลังนั้นลูกหนี้ได้นำเงินเข้าบัญชีให้แก่ผู้คัดค้านสาขาทับสะแก 51 รายการ รวมเป็นเงิน 791,197 บาท และเบิกถอนออกจากบัญชีไป 390,760 บาท ตามเอกสารหมาย ร.2 ปัญหาตามฎีกาของผู้ร้องมีว่า การกระทำของลูกหนี้ดังกล่าวเป็นการชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านโดยมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านซึ่งเป็นเจ้าหนี้คนหนึ่งได้เปรียบเจ้าหนี้อื่นหรือไม่ เห็นว่า คดีปรากฏจากคำเบิกความของนายน้อย สมใจรักษ์ และนายมนูญ สอนเสริม พยานผู้ร้องว่าในการดำเนินกิจการของลูกหนี้นั้น ลูกหนี้ใช้เงินทุนจากการกู้มาจากผู้คัดค้านด้วย โดยทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีในวงเงิน 1,000,000 บาทและเปิดบัญชีกระแสรายวันไว้โดยมีการเบิกถอนและนำเงินเข้าบัญชีหักทอนกันเพื่อจะเบิกถอนต่อไปภายในวงเงินดังกล่าว ซึ่งในระหว่างวันที่ 9 ธันวาคม 2530 ถึงวันที่ 24 พฤษภาคม 2531 ก็เช่นเดียวกันคือมีทั้งการนำเงินเข้าบัญชีและเบิกถอนออกจากบัญชีด้วยและปรากฏว่าลูกหนี้เป็นหนี้ผู้คัดค้าน สาขาทับสะแก เพียงประมาณ 600,000 บาทซึ่งก็ยังอยู่ในวงเงินที่ลูกหนี้ยังเบิกถอนต่อไปได้อันเจือสมกันกับคำเบิกความของนายวิริยะ เปรมปราโมทย์ พยานผู้คัดค้านนอกจากนี้นายน้อยพยานผู้ร้องยังเบิกความยืนยันว่า หลังจากเปิดบัญชีกระแสรายวันและทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีแล้ว ได้มีการนำเงินเข้าฝากและถอนอยู่เป็นประจำและก่อนสัญญาครบกำหนดมีการต่ออายุสัญญากันทุกปี ดังนี้แสดงว่าในระหว่างอายุสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี ลูกหนี้สามารถนำเงินเข้าฝากเพื่อหักทอนบัญชีและเบิกถอนต่อไปได้ อันเป็นการเดินสะพัดทางบัญชีตามสัญญาเดินสะพัด การที่ลูกหนี้นำเงินเข้าบัญชีจึงมีลักษณะเป็นการลดหนี้ลงชั่วคราวแล้วเบิกเงินใหม่ซึ่งกระทำตลอดเวลาของอายุสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีและไม่เป็นการชำระหนี้ทีเดียวเสร็จสิ้นกันไปเลย ทั้งที่ตามสัญญาผู้คัดค้านสามารถเรียกให้ชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนได้ ทางนำสืบของผู้ร้องก็ยังไม่พอฟังว่า ผู้คัดค้านได้ทราบก่อนแล้วว่าลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัวโดยลูกหนี้ได้ไปกู้ยืมเงินจากเจ้าหนี้รายอื่นด้วยแม้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีระบุให้ลูกหนี้ต้องแจ้งให้ผู้คัดค้านทราบและต้องได้รับอนุญาตจากผู้คัดค้านก่อนก็ตาม นายวิริยะพยานผู้คัดค้านก็เบิกความปฏิเสธว่า ผู้คัดค้านเพิ่งทราบหลังจากลูกหนี้ถูกฟ้องล้มละลายโดยผู้ร้องแจ้งให้ทราบ การนำเงินเข้าบัญชีของลูกหนี้จึงเป็นการชำระหนี้เพื่อก่อหนี้ใหม่ เพิ่มขึ้นอันเป็นวิธีการเพื่อจะเบิกเงินจากผู้คัดค้านได้มากยิ่งขึ้นตามประเพณีธนาคารในเรื่องบัญชีเดินสะพัดเท่านั้น การกระทำของลูกหนี้จึงมิได้มุ่งหมายให้ผู้คัดค้านซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้เปรียบเจ้าหนี้อื่นตามพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115 แต่อย่างใดที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้นชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share