คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3915/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมิได้บัญญัติในเรื่องถอนอุทธรณ์ไว้โดยเฉพาะ แต่ตามมาตรา 246 ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีในศาลชั้นต้นมาใช้บังคับแก่การพิจารณาและการชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นอุทธรณ์โดยอนุโลม เมื่อคำฟ้องอุทธรณ์เป็นคำฟ้องอย่างหนึ่งตามมาตรา 1(3) ดังนั้น ในการถอนคำฟ้องอุทธรณ์จึงต้องนำบทบัญญัติว่าด้วยการถอนฟ้องตามมาตรา 175 มาบังคับใช้โดยอนุโลม โดยศาลอุทธรณ์จะต้องฟังจำเลยหรือผู้ร้องสอดถ้าหากมีก่อนแม้จำเลยจะคัดค้านก็อยู่ในดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ที่จะสั่งอนุญาตได้และการขอถอนคำฟ้องอุทธรณ์เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย ไม่ถือเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยไม่สุจริต

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ทั้งห้าในฐานะเจ้าหนี้ของจำเลยร่วมใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสิบแปดในมูลหนี้ละเมิดที่จำเลยทั้งสิบแปดร่วมกันกระทำต่อจำเลยร่วมเป็นเงิน 5,857,335,703.17 บาท เป็นเหตุให้โจทก์ต้องเสียผลประโยชน์เป็นเงิน 204,093,309.07 บาท
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 10 และที่ 12 ถึงที่ 18 ให้การปฏิเสธความรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 11 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
โจทก์ขอให้เรียกบริษัทราชาเงินทุน จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาตและให้เรียกว่าจำเลยที่ 19
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งห้าอุทธรณ์
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ที่ 4 ที่ 5 ยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์จำเลยที่ 14 ถึงที่ 18 คัดค้าน
ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้โจทก์ที่ 4 ที่ 5 ถอนอุทธรณ์ได้
จำเลยที่ 14 ถึงที่ 18 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มิได้มีบัญญัติว่าด้วยการถอนอุทธรณ์ไว้โดยเฉพาะ แต่ตามมาตรา 246 ของลักษณะ 1 ว่าด้วยอุทธรณ์ได้บัญญัติให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณาและการชี้ขาดตัดสินคดีในศาลชั้นต้นมาใช้บังคับแก่การพิจารณาและการชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นอุทธรณ์ได้โดยอนุโลม คำฟ้องอุทธรณ์ก็เป็นคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(3) ดังนั้นจึงต้องนำบทบัญญัติว่าด้วยการถอนคำฟ้องตามมาตรา 175 มาใช้บังคับเกี่ยวกับการถอนคำฟ้องอุทธรณ์โดยอนุโลม ซึ่งการถอนคำฟ้องในคดีแพ่งนั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 175 บังคับเพียงว่าให้ฟังจำเลยหรือผู้ร้องสอดถ้าหากมีก่อนที่จะสั่งอนุญาตให้ถอนคำฟ้อง แม้จำเลยคัดค้านก็อยู่ในดุลพินิจของศาลที่จะสั่งอนุญาตได้ และการที่โจทก์ขอถอนคำฟ้องเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย ถือไม่ได้ว่าโจทก์ดำเนินกระบวนพิจารณาโดยไม่สุจริตเพื่อเอาเปรียบในเชิงคดี ดังนั้น เมื่อคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ และโจทก์ที่ 4 ที่ 5 ขอถอนอุทธรณ์ก็ย่อมอยู่ในดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ที่จะพิจารณา ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจที่จะอนุญาตให้โจทก์ที่ 4 ที่ 5ถอนอุทธรณ์ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 246 ประกอบด้วยมาตรา 175 คำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่อนุญาตให้โจทก์ที่ 4 และที่ 5 ถอนอุทธรณ์ได้จึงชอบด้วยวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 246 ประกอบด้วยมาตรา 175 คำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่อนุญาตให้โจทก์ที่ 4 และที่ 5 ถอนอุทธรณ์ได้จึงชอบด้วยวิธีพิจารณาแล้ว ข้อที่จำเลยที่ 14 ถึงที่ 18 อ้างว่า จะทำให้ตนเสียเปรียบเพราะโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 อาจไม่มีเงินชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนตามคำพิพากษาของศาลก็ดี หรือเกรงว่าต่อไปในชั้นฎีกาโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 อาจขอฎีกาอย่างคนอนาถาก็ดีล้วนแต่เป็นเรื่องที่มีบทบัญญัติของกฎหมายได้บัญญัติไว้แล้วและเป็นเรื่องที่ศาลจะพิจารณาสั่งการได้ตามกฎหมายเป็นกรณีไป มิใช่เงื่อนไขที่เกี่ยวกับการอนุญาตให้ถอนอุทธรณ์หรือไม่
พิพากษายืน

Share