แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 2 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218
สัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่ง ไม่มีข้อตกลงว่าโจทก์ไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยในทางอาญาสิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมไม่ระงับตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39(2).
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 จำเลยชำระเงินมาบางส่วนแล้วเห็นควรกำหนดโทษสถานเบา ให้ลงโทษจำคุก 4 เดือนจำเลยให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 เดือน
จำเลยอุทธรณ์ ขอให้ลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย2 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ที่จำเลยฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์ โดยขอให้ลงโทษสถานเบากว่าโทษที่ศาลอุทธรณ์ลงแก่จำเลยหรือรอการลงโทษนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้สำหรับฎีกาของจำเลยในข้อที่ว่า โจทก์ได้ใช้สิทธิทางแพ่งโดยฟ้องเรียกเงินตามเช็คจากจำเลยเป็นคดีแพ่ง ได้แก่คดีแพ่งหมายเลขดำที่1237/2530 ของศาลชั้นต้น โจทก์ตกลงยอมให้จำเลยผ่อนชำระเป็นรายเดือน เดือนละ 3,000 บาทเป็นอย่างน้อย ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2530 และศาลได้พิพากษาตามยอมแล้ว จึงถือว่าโจทก์ไม่ติดใจดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยแล้ว สิทธิในการดำเนินคดีอาญาของโจทก์ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) ศาลจึงต้องจำหน่ายคดีจากสารบบความ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจพิจารณาและพิพากษาลงโทษจำเลยนั้นเห็นว่า สัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งตามที่จำเลยอ้างในฎีกาไม่มีข้อตกลงว่าโจทก์ไม่ติดใจที่จะดำเนินคดีแก่จำเลยในทางอาญาสิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมไม่ระงับ ที่ศาลอุทธรณ์ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อมาจึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน