คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3906/2536

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานบุกรุกและขอให้ขับไล่จำเลยกับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ เป็นการฟ้องคดีอาญาและคดีแพ่งที่เกี่ยวกับคดีอาญา ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งให้ประทับฟ้อง หมายเรียกจำเลยมาให้การในวันนัดสืบพยานโจทก์ให้โจทก์นำส่งหมายเรียกภายใน 7 วันจำเลยจึงมีสิทธิยื่นคำให้การในวันนัดสืบพยานโจทก์ได้โดยไม่ต้องยื่นคำให้การแก้คดีภายใน 15 วัน นับแต่ได้ส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคหนึ่งดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นออกหมายเรียกและกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2533 และเมื่อถึงวันนัดสืบพยานโจทก์นั้น ศาลชั้นต้นได้อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นบันทึกคำให้การของจำเลยไว้จึงถือได้ว่าจำเลยได้ยื่นคำให้การในคดีส่วนแพ่งในวันนั้นด้วยแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ ห้ามมิให้เข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่อไปและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์6,000 บาท กับค่าเสียหายปีละ 6,000 บาท ทุกปีไปจนกว่าจำเลยจะออกไปจากที่ดินของโจทก์มาด้วย เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้จำนวน6,000 บาท และไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้รวมอยู่ด้วยทั้งยังมีคำขอให้ชำระค่าเสียหายในอนาคตรวมอยู่อีกด้วยเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนและโจทก์ฎีกาขอให้พิพากษากลับคำพิพากษาอุทธรณ์ภาค 2ให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ ห้ามมิให้เข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่อไป และให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามฟ้องโจทก์จึงต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาตามข้อ (3) และข้อ (4)ของตาราง 1 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเป็นจำนวนทั้งสิ้น 300 บาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกบุกรุกเข้าไปในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 3980 ของโจทก์โดยนำรถไถติดเครื่องยนต์แบบเดินตามไปไถในที่ดินดังกล่าวเพื่อทำนาปลูกข้าวและเพื่อยึดถือครอบครองที่ดินอันเป็นอสังริมทรัพย์ของโจทก์บางส่วนทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของที่ดินนั้นเป็นแนวกว้าง 1 เส้น 18 วา ยาว 2 เส้น คิดเป็นเนื้อที่3 ไร่ 3 งาน 20 ตารางวา เป็นการรบกวน การครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์บางส่วน การกระทำของจำเลยกับพวกดังกล่าวทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขาดประโยชน์จากการที่โจทก์ควรจะได้รับจากการ ทำนาปลูกข้าวในที่ดินที่จำเลยบุกรุกในปี 2532 เป็นเงิน 6,000 บาท ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 363, 365, 83 และบังคับให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์ตามฟ้อง ห้ามมิให้เกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวต่อไป กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน 6,000 บาท และค่าเสียหายปีละ6,000 บาท ทุกปีไปจนกว่าจำเลยจะออกไปจากที่ดินของโจทก์
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า จำเลยเป็นฝ่ายครอบครองทำกินมานานเกิน 1 ปี ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้จำเลยย่อมได้สิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 การที่จำเลยนำรถเข้าไปไถที่ดินพิพาทจึงไม่เป็นความผิดตามฟ้องโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ตามที่โจทก์ฎีกาเพียงว่า ในการฟ้องคดีอาญาและคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ในคดีอาญาลอย ๆ โดยศาลจดให้ จะถือว่าจำเลยปฏิเสธในคดีส่วนแพ่ง ด้วยไม่ได้ซึ่งหากจำเลยไม่ได้ทำคำให้การเป็นหนังสือยื่นต่อศาล ภายใน 8 วัน นับแต่ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าจำเลยขาดนัด ยื่นคำให้การได้หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานบุกรุกและขอให้ขับไล่จำเลยกับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นการฟ้องคดีอาญาและคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งให้ประทับฟ้อง หมายเรียกจำเลยมาให้การในวันเดียวนัดสืบพยานโจทก์ให้โจทก์นำส่งหมายเรียกภายใน 7 วัน จำเลยจึงมีสิทธิยื่นคำให้การในวันนัดสืบพยานโจทก์ได้โดยไม่ต้องยื่นคำให้การแก้คดีภายใน 15 วัน นับแต่ได้ส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคหนึ่งแต่อย่างใด ดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นออกหมายเรียกและกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์2533 และเมื่อถึงวันนัดสืบพยานโจทก์นั้น ศาลชั้นต้นได้อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง จำเลยให้การปฏิเสธศาลชั้นต้นบันทึกคำให้การของจำเลยไว้ จึงถือได้ว่าจำเลยได้ยื่นคำให้การในคดีส่วนแพ่งในวันนั้นด้วยแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญานี้ เป็นคดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ ห้ามมิให้เข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่อไป และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์6,000 บาท กับค่าเสียหายปีละ 6,000 บาท ทุกปีไปจนกว่าจำเลยจะออกไปจากที่ดินของโจทก์ จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้จำนวน 6,000 บาท และไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้รวมอยู่ด้วย ทั้งยังมีคำขอให้ชำระค่าเสียหายในอนาคตรวมอยู่อีกด้วย เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน และโจทก์ฎีกาขอให้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ ห้ามมิให้เข้ามา เกี่ยวข้องอีกต่อไป และให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามฟ้อง โจทก์จึงต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาตามข้อ (3) และข้อ (4) ของตาราง 1 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเป็นจำนวนทั้งสิ้น 300 บาท แต่ปรากฎว่าโจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกามาจำนวน 380 บาท โจทก์จึงเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเกินมา”
พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่โจทก์เสียเกินมาให้โจทก์

Share