คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 390/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามสัญญาซื้อขายข้าวโพดได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้แน่นอนตามวันแห่งปฏิทินคือภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 ปรากฎว่าในวันที่ 24 พฤษภาคม 2527 ก่อนจะครบกำหนดระยะเวลาโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบทางโทรพิมพ์ข้อความว่า หากข้าวโพดส่วนที่ยังไม่รับมอบตามสัญญาถูกยกเลิกไปจำเลยจะต้องชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน 1,033,333.50 บาท กับมีข้อความตอนท้ายว่า การชำระหนี้เต็มจำนวนต้องกระทำภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 เท่ากับโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยปฏิบัติการชำระหนี้ตามสัญญา แสดงให้เห็นว่าโจทก์ได้ถือเอากำหนดเวลาชำระหนี้ตามสัญญาเป็นสาระสำคัญ เมื่อจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ภายในเวลาตามที่กำหนดไว้ในสัญญาจำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดและผิดสัญญา แต่ตามสัญญาไม่ได้ระบุว่าหากจำเลยผิดนัดผิดสัญญา สัญญาซื้อขายเป็นอันเลิกกันทันทีดังนั้น ตราบใดที่โจทก์ยังไม่ได้บอกเลิกสัญญา สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยยังมีผลผูกพันอยู่ จำเลยมีสิทธิขอชำระหนี้ตามสัญญาได้ โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาซื้อขายข้าวโพดเนื่องจากจำเลยผิดสัญญา ระหว่างที่โจทก์ยังไม่บอกเลิกสัญญา จำเลยติดต่อขอรับข้าวโพดจำนวน 10,000 เมตริกตัน จากโจทก์โดยจำเลยเพียงแต่มีหนังสือถึงโจทก์ว่าจำเลยจะส่งเจ้าหน้าที่ของจำเลยและเจ้าหน้าที่ของธนาคารไปตรวจสินค้าที่ไซโล เพื่อจำเลยจะขอเบิกเงินจากธนาคารมาชำระค่าข้าวโพดให้โจทก์เท่านั้นยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ขอชำระราคาข้าวโพดทั้งหมดก่อนที่จำเลยจะมารับมอบข้าวโพดจากโจทก์ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ต่อโจทก์และฟังไม่ได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยจึงไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา เมื่อปรากฎในเวลาต่อมาว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2526 จำเลยได้ทำสัญญาซื้อข้าวโพดเกรดเอ จากโจทก์จำนวน 21,000 เมตริกตัน มีข้อตกลงว่าจำเลยจะรับมอบข้าวโพด 1,000 เมตริกตัน และชำระราคาในราคาหาบละ187 บาท ให้แก่โจทก์ในวันทำสัญญา ข้าวโพดที่เหลือจำเลยจะรับมอบ10,000 เมตริกตัน ราคาหาบละ 198 บาท ในเดือนมกราคม 2527 และ รับมอบข้าวโพด 10,000 เมตริกตัน ราคาหาบละ 208 บาท ในเดือนมีนาคม 2527 โดยจำเลยเป็นฝ่ายไปรับข้าวโพดจากไซโล ของบริษัทคอนติเนนตัลโอเวอร์ซีส์ จำกัด ที่อำเภอท่าเรือจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำเลยจะต้องชำระราคาข้าวโพดที่จะรับมอบจากโจทก์ในเดือนมกราคมและมีนาคม 2527 ร้อยละ 10 ภายในวันที่ 14พฤศจิกายน 2526 ราคาที่เหลืออีกร้อยละ 90 จะชำระให้แก่โจทก์เสร็จภายในวันที่ 1 มกราคมและวันที่ 1 มีนาคม 2527 ตามลำดับและจะต้องรับข้าวโพดไปจากโจทก์มีจำนวนอย่างน้อยร้อยละ 70 ของจำนวนข้าวโพดที่จะรับมอบจากโจทก์แต่ละเดือนตามที่ตกลง หากมีข้าวโพดเหลืออยู่ที่โจทก์ยอมให้โจทก์เรียกค่าเก็บรักษาอีกหาบละ 2 บาท หลังจากทำสัญญาแล้วจำเลยรับข้าวโพด 1,000 เมตริกตัน และชำระราคาให้แก่โจทก์กับชำระราคาข้าวโพดที่จะรับจากโจทก์ในเดือนมกราคมและมีนาคม 2527 ร้อยละ 10ตามสัญญา ต่อมาได้ชำระราคาร้อยละ 90 สำหรับข้าวโพด 10,000 เมตริกตันที่จะรับมอบในเดือนมกราคม 2527 แต่รับมอบข้าวโพดไปจากโจทก์เพียง4,510.40 เมตริกตัน ที่เหลือ 5,489.60 เมตริกตัน รับไปหลังวันที่ 31มกราคม 2527 จำเลยจะต้องชำระค่าเก็บรักษาสำหรับข้าวโพดส่วนนี้เป็นเงิน 182,986.66 บาท ส่วนข้าวโพดจำนวน 10,000 เมตริกตันที่จำเลยจะต้องรับมอบจากโจทก์ในเดือนมีนาคม 2527 นั้น จำเลยไม่ชำระราคาที่เหลือร้อยละ 90 ให้แก่โจทก์ในวันที่ 1 มีนาคม 2527 ตามสัญญาต่อมาวันที่ 14 มีนาคม 2527 โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาเพิ่มเติมสัญญาฉบับลงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2526 มีข้อตกลงว่า ข้าวโพด 10,000เมตริกตัน ที่จำเลยจะต้องรับมอบจากโจทก์ในเดือนมีนาคม 2527 นั้น ให้จำเลยรับมอบจากโจทก์ในเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2527 เดือนละ5,000 เมตริกตัน ในราคาหาบละ 208 บาท สำหรับข้าวโพด 5,000 เมตริกตันที่จะรับมอบในเดือนเมษายน 2527 ถ้ารับไปไม่หมด เหลืออยู่เพียงใดยอมให้โจทก์คิดราคาหาบละ 210 บาท และจะรับมอบข้าวโพดจากโจทก์ไปทั้งหมดภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 กับจำเลยออกเช็คของธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาราชวงศ์ ลงวันที่ 30 มีนาคม 2527สั่งจ่ายเงินจำนวน 182,986.66 บาท ชำระค่าเก็บรักษาข้าวโพดแก่โจทก์ที่รับมอบไปจากโจทก์ไม่ครบถ้วนในเดือนมกราคม 2527 เช็คครบกำหนดโจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้และครบกำหนดที่จำเลยจะต้องรับมอบข้าวโพดและชำระราคาให้แก่โจทก์ตามสัญญาทั้งหมด วันที่ 31 พฤษภาคม2527 จำเลยผิดสัญญา โจทก์จึงบอกเลิกสัญญา ให้จำเลยชำระค่าเสียหายที่โจทก์ควรได้กำไรจากการขายข้าวโพดตามสัญญาหาบละ 27 บาท หรือเมตริกตันละ 450 บาท ข้าวโพด 10,000 เมตริกตัน เป็นค่าเสียหาย4,500,000 บาท หักราคาข้าวโพดที่จำเลยชำระให้แก่โจทก์ล่วงหน้าไว้แล้ว 3,466,666.50 บาท โจทก์ได้รับความเสียหาย 1,033,333.50 บาทรวมกับค่าเก็บรักษาข้าวโพดอีก 182,986.66 บาท เป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 1,216,320.16 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2527 ถึงวันฟ้องเป็นต้นเงินและดอกเบี้ย1,322,748.16 บาท โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 1,322,248.16 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 1,216,320.16 บาท นับตั้งแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า การที่จำเลยไม่ได้รับมอบข้าวโพด10,000 เมตริกตัน และชำระราคาให้แก่โจทก์ภายในวันที่ 31 พฤษภาคม2527 ตามสัญญาเพิ่มเติมระหว่างโจทก์กับจำเลย ลงวันที่ 14 มีนาคม2527 นั้น เพราะโจทก์กับจำเลยได้ตกลงกันว่า โจทก์จะไม่ยึดถือเอากำหนดเวลาในการส่งมอบข้าวโพดตามที่ได้ตกลงไว้เป็นสาระสำคัญ มีการผ่อนผันต่อกันมา เนื่องจากจำเลยยังมีข้าวโพดที่ซื้อมาจากโจทก์ในเดือนก่อนเหลืออยู่ โจทก์ก็ไม่ได้บอกเลิกสัญญาจนถึงวันที่ 3 กรกฎาคม2527 จำเลยได้ขอรับข้าวโพดจากโจทก์ โจทก์ไม่มีข้าวโพดที่จะมอบให้แก่จำเลยตามสัญญา โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา วันที่ 10 กรกฎาคม 2527จำเลยบอกเลิกสัญญา ให้โจทก์ค้นเงินราคาข้าวโพดที่จำเลยชำระล่วงหน้าให้แก่โจทก์ไปแล้ว 3,466,666.50 บาท หักกับค่าเก็บรักษาข้าวโพดที่จำเลยจะต้องชำระให้แก่โจทก์ 182,986.66 บาท ออกแล้ว โจทก์จะต้องคืนเงิน 3,283,679.84 บาท แก่จำเลยพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับแต่วันเลิกสัญญาคือวันที่ 11 กรกฎาคม 2527 ถึงวันฟ้องเป็นต้นเงินและดอกเบี้ยรวม 3,579,883 บาท ขอให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ชำระเงิน 3,579,883 บาท แก่จำเลย พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 3,283,679.88 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่รับมอบข้าวโพดและชำระราคาที่เหลือร้อยละ 90 สำหรับข้าวโพดที่จำเลยจะต้องรับมอบจากโจทก์ในเดือนมีนาคม 2527 ต่อมาโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาเพิ่มเติมซึ่งจำเลยจะต้องรับมอบข้าวโพดทั้งหมดและชำระราคาให้แก่โจทก์ภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 หลังจากทำสัญญาเพิ่มเติมแล้วจำเลยไม่ยอมรับมอบข้าวโพดและชำระราคาให้แก่โจทก์ตามสัญญา เพราะราคาซื้อขายข้าวโพดในท้องตลาดขณะนั้นถูกกว่าราคาที่จำเลยตกลงกับโจทก์ไว้ตามสัญญา โจทก์มีข้าวโพดพร้อมที่จะส่งมอบให้แก่จำเลยตามสัญญาแต่จำเลยขอรับมอบข้าวโพดในวันที่ 3 กรกฎาคม 2527 ซึ่งล่วงเลยวันที่31 พฤษภาคม 2527 ที่จำเลยจะรับมอบข้าวโพดทั้งหมดตามสัญญาแล้ว จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา และเรียกร้องให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายตามฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้งจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ จำเลยชำระเงินจำนวน 1,216,320.16 บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1มิถุนายน 2527 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยดังกล่าวคิดถึงวันฟ้อง (วันที่ 2 สิงหาคม 2528) ต้องไม่เกิน 106,428 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับกันฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2526 จำเลยได้ทำสัญญาซื้อ ข้าวโพด เกรดเอ จำนวน21,000 เมตริกตัน จากโจทก์ โดยกำหนดรับมอบข้าวโพดและชำระราคารวม3 ครั้ง ครั้งแรกส่งมอบ 1,000 เมตริกตัน และชำระราคาในวันทำสัญญาครั้งที่สองรับมอบ 10,000 เมตริกตัน ภายในเดือนมกราคม 2527ครั้งที่สามรับมอบ 10,000 เมตริกตัน ภายในเดือนมีนาคม 2527 จำเลยจะต้องชำระเงินร้อยละ 10 สำหรับข้าวโพด 20,000 เมตริกตัน ภายในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2526 ส่วนราคาที่เหลืออีกร้อยละ 90 ของราคาข้าวโพดที่จะรับมอบในแต่ละครั้งจำเลยจะต้องชำระในวันที่ 1 มกราคมและวันที่ 1 มีนาคม 2527 ถ้าจำเลยไม่รับมอบข้าวโพดตามกำหนดจำเลยจะต้องเสียค่าเก็บรักษาให้แก่โจทก์ปรากฏตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.3 และจ.4 ภายหลังจากทำสัญญาแล้วจำเลยรับมอบข้าวโพดในงวดที่สองและชำระราคาที่เหลือแล้ว แต่รับมอบข้าวโพดไม่หมดตามสัญญา จำเลยจึงต้องเสียค่าเก็บรักษาให้โจทก์เป็นเงิน 182,986.66 บาท ซึ่งจำเลยยังไม่ชำระแต่จำเลยได้ชำระราคาข้าวโพดร้อยละ 10 สำหรับข้าวโพด 20,000เมตริกตัน เป็นเงิน 3,466,986.50 บาท ให้แก่โจทก์ตามสัญญาแล้วสำหรับข้าวโพดที่จะต้องส่งมอบและชำระราคาในงวดสุดท้ายจำนวน 10,000เมตริกตัน นั้น จำเลยไม่รับมอบและชำระราคาตามกำหนดในสัญญา ต่อมาวันที่ 14 มีนาคม 2527 โจทก์จำเลยทำสัญญาเพิ่มเติมเลื่อนเวลาให้จำเลยมารับมอบข้าวโพด และชำระราคาสำหรับข้าวโพด 10,000 เมตริกตันดังกล่าวโดยให้จำเลยมารับมอบข้าวโพด 5,000 เมตริกตัน ภายในเดือนเมษายน 2529 และที่เหลืออีก 5,000 เมตริกตัน ภายในเดือนพฤษภาคม 2529แต่จำเลยจะต้องชำระราคาล่วงหน้าสำหรับการส่งมอบปรากฏตามสัญญาเพิ่มเติมเอกสารหมาย จ.10 แต่จำเลยก็ไม่ได้มารับมอบและชำระราคาข้าวโพดให้แก่โจทก์ตามสัญญาเพิ่มเติมดังกล่าว คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่า โจทก์หรือจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยฎีกาว่า ตามสัญญาซื้อขาย โจทก์จำเลยไม่ได้ถือเอากำหนดเวลาชำระหนี้ตามสัญญาเป็นสาระสำคัญ เห็นว่า ตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.3 จ.4 และสัญญาเพิ่มเติมเอกสารหมาย จ.10 เป็นสัญญาที่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้แน่นอนตามวันแห่งปฏิทิน คือภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 ปรากฏว่าในวันที่ 24 พฤษภาคม 2527 ก่อนจะครบกำหนดระยะเวลาซึ่งจำเลยจะต้องชำระหนี้ตามสัญญาเพิ่มเติมเอกสารหมาย จ.10 โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบทางโทรพิมพ์มีข้อความว่า หากข้าวโพดส่วนที่ยังไม่รับมอบตามสัญญาถูกยกเลิกไปจำเลยจะต้องชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน1,033,333.50 บาท กับมีข้อความตอนท้ายว่า การชำระหนี้เต็มจำนวนต้องกระทำภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 ปรากฏตามโทรพิมพ์เอกสารหมายจ.14 ดังนี้ เท่ากับโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยปฏิบัติการชำระหนี้ตามสัญญาแสดงให้เห็นว่า โจทก์ได้ถือเอากำหนดเวลาชำระหนี้ตามสัญญาเป็นสาระสำคัญ เมื่อจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ภายในเวลาตามที่กำหนดไว้ในสัญญา จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดและผิดสัญญา แต่ตามสัญญาไม่ได้ระบุว่าหากจำเลยผิดนัดผิดสัญญา สัญญาซื้อขายเป็นอันเลิกกันทันที ดังนั้นตราบใดที่โจทก์ยังไม่ได้บอกเลิกสัญญา สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยยังมีผลผูกพันอยู่ จำเลยมีสิทธิขอชำระหนี้ตามสัญญาได้ปัญหาต่อไปมีว่าระหว่างที่โจทก์ยังไม่บอกเลิกสัญญา จำเลยขอปฏิบัติการชำระหนี้ตามสัญญาหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า เมื่อวันที่ 3กรกฎาคม 2529 จำเลยติดต่อขอรับข้าวโพดจำเลย 10,000 เมตริกตัน จากโจทก์โดยจำเลยพร้อมที่จะชำระราคา ปรากฏตามที่จำเลยนำสืบและหนังสือเอกสารหมาย จ.15 และ จ.16 จำเลยเพียงแต่มีหนังสือดังกล่าวถึงโจทก์ว่าจำเลยจะส่งเจ้าหน้าที่ของจำเลยและเจ้าหน้าที่ของธนาคารกสิกรไทย จำกัด ไปตรวจสินค้าที่ไซโล ท่าเรือเพื่อจำเลยจะขอเบิกเงินจากธนาคารมาชำระค่าข้าวโพดให้โจทก์เท่านั้น ข้อนำสืบของจำเลยเช่นนี้ยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ขอชำระราคาข้าวโพดทั้งหมดก่อนที่จำเลยจะมารับมอบข้าวโพดจากโจทก์ตามสัญญาเพิ่มเติมเอกสารหมายจ.10 ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ต่อโจทก์ และฟังไม่ได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยจึงไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเมื่อปรากฏในเวลาต่อมาว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญากับจำเลยตามหนังสือบอกเลิกสัญญาเอกสารหมาย จ.24 แล้ว โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ ที่จำเลยฎีกาว่า ราคาข้าวโพดที่จะส่งมอบทันทีตามสัญญาราคาหาบละ 187 บาท ต่อ 60 กิโลกรัม แต่ตามสถิติ สินค้าพืชไร่ของสมาคมพ่อค้าข้าวโพดและพืชพันธ์ุไทย ราคาหาบละ 183 บาท ต่อ60 กิโลกรัม ดังนั้น ข้าวโพดเกรดเอ ที่จำเลยซื้อแพงกว่าข้าวโพดเกรดเอ ทั่วไปหาบละ 4 บาท เมื่อราคาข้าวโพดตามสัญญาเฉลี่ยราคาหาบละ208 บาท ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 ผลต่างราคาซื้อขายกับราคาตลาดหาบละ 22 บาท ซึ่งจำเลยควรจะใช้ค่าเสียหายในส่วนนี้ให้แก่โจทก์เมื่อหักกับเงินที่จำเลยชำระไปแล้วอย่างมากก็เพียง 200,000 บาท นั้นในข้อนี้จำเลยไม่ได้ต่อสู้ไว้ในคำให้การจึงเป็นเรื่องที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้นั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share