คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 390/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญา คำบรรยายฟ้องของโจทก์เข้าใจได้แต่เพียงว่าจำเลยเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีอาญาซึ่ง ส.ถูกฟ้องฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยสุจริตและปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเท่านั้น ส. กระทำการอย่างใดอันเป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริตโจทก์มิได้บรรยายมาในฟ้อง จึงไม่ทำให้เข้าใจได้ว่าข้อความที่จำเลยเบิกความต่อศาลดังกล่าวนั้นเป็นข้อสำคัญในคดีที่ ส. ถูกฟ้องนั้นหรือไม่ คำฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๗ จำเลยเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญาของศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา คดีดำที่ ๘๗๘/๒๕๑๖ ว่าในระหว่างวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๑๓ ถึงวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๑๓ ซึ่งจำเลยนำรถแทร็กเตอร์ของเทศบาลไปทำงานไถดินให้นายสมศักดิ์ ชมจันทร์ จำเลยในคดีอาญาดังกล่าวนั้น “วันเสาร์ อาทิตย์ บางวันก็ทำบางวันก็ไม่ได้ทำ” และว่าเอกสาร จ.๓ ซึ่งโจทก์อ้างส่งศาลในวันพิจารณาคดีดังกล่าว” เป็นสำเนาเอกสารซึ่งตรงกับต้นฉบับเฉพาะที่เป็นสำเนาส่วนที่เขียนเพิ่มเติมด้วยหมึกและดินสอดำเป็นข้อความที่เพิ่มเติมขึ้นโดยพนักงานสอบสวนและเจ้าหน้าที่คณะปฏิวัติขอให้ข้าพเจ้าเซ็นรับรอง ข้าพเจ้ากลัวข้าพเจ้าเซ็นให้ซึ่งไม่เป็นความจริง” ซึ่งข้อความที่เขียนด้วยหมึกตามเอกสารดังกล่าวมีข้อความว่า จำเลยได้ตรวจหลักฐานรายงานประจำวันการปฏิบัติงานของรถแทร็กเตอร์เทศบาลแล้ว เห็นว่าการลงเวลาทำงานในรายงานนี้ไม่ถูกต้องน้อยกว่าความเป็นจริงถึง ๖๙ ชั่วโมงครึ่ง เพราะนายสมศักดิ์ ชมจันทร์สั่งให้ไม่ต้องรายงานในวันเสาร์อาทิตย์ตั้งแต่วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๑๓ ถึงวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๑๓ นั้น โดยบอกว่าอั๊วจะจัดการเองและยังให้การอีกว่า “ตั้งแต่วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๑๓ ถึงวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๑๓ ยังนำรถแทร็กเตอร์ไถที่จำเลยอยู่นั้นไม่เป็นความจริง ความจริงเวลาดังกล่าวข้าพเจ้านำรถไปไถที่วัดอินทารามและวัดวงฆ้อง” ซึ่งข้อความดังกล่าวเป็นความเท็จอันเป็นข้อสำคัญในคดีอาญาหมายเลขดำดังกล่าว ความจริงแล้วในระหว่างวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๑๓ ถึงวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๑๓ ในวันเสาร์ วันอาทิตย์จำเลยทำงานทุกวัน และข้อความที่เขียนด้วยหมึกและดินสอดำตามเอกสารหมาย จ.๓ ดังกล่าวเป็นความจริงทั้งในระหว่างวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๑๓ ถึงวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๑๓ ความจริงจำเลยก็ยังนำรถแทร็กเตอร์ไถที่ให้นายสมศักดิ์ ชมจันทร์ด้วย ซึ่งข้อความดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในคดีอาญาดังกล่าว เนื่องจากข้อความจริงนั้นเป็นประเด็นสำคัญที่จะฟังได้ขัดตามคำฟ้องคดีนั้น ถ้าจำเลยให้การตามความจริงแล้วจะทำให้ฟังข้อเท็จจริงได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่านายสมศักดิ์ ชมจันทร์ได้เป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่เทศบาลเมืองนครศรีอยุธยา และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบซึ่งฟังเป็นความผิดได้ตามฟ้องคดีนั้น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๗ ลงโทษจำคุก ๑ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า คำฟ้องของโจทก์เป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ (๕) ไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาว่าจำเลยกระทำผิดหรือไม่ พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาว่าฟ้องของโจทก์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ (๕) หรือไม่ พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์พอเข้าใจได้เพียงว่า โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยเบิกความเท็จต่อศาลในการพิจารณาคดีอาญาซึ่งนายสมศักดิ์ ชมจันทร์ถูกฟ้องฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่เทศบาลเมืองนครศรีอยุธยา และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเท่านั้น นายสมศักดิ์ ชมจันทร์กระทำการอย่างใดอันเป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริต โจทก์มิได้บรรยายมาในฟ้องจึงไม่ทำให้เข้าใจได้ว่า ข้อความที่จำเลยเบิกความต่อศาลดังกล่าวนั้นเป็นข้อสำคัญในคดีที่นายสมศักดิ์ ชมจันทร์ถูกหาว่าทุจริตต่อหน้าที่หรือไม่ แม้โจทก์จะอ้างเลขสำนวนที่จำเลยเบิกความเป็นพยานมาในคำฟ้องคดีนี้ด้วย แต่คำฟ้องของโจทก์จะต้องสมบูรณ์มีรายละเอียดชัดแจ้งพอสมควรที่จะให้เข้าใจข้อหาได้ดี มิใช่ต้องให้ไปค้นหาหลักฐานที่อื่นเอาเอง คำฟ้องของโจทก์คดีนี้จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ (๕) ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share