คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3893/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เช็คพิพาทเป็นเช็คที่จำเลยทั้งสองออกให้โจทก์พร้อมกับเช็คฉบับอื่นอีก 37 ฉบับ ในการตกลงประนีประนอมยอมความกันตามหนังสือรับสภาพหนี้ อันมีมูลหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายรวมอยู่ด้วย ดังนี้แม้เช็คพิพาทจะออกให้เพื่อชำระค่าใช้จ่าย ค่าเสียหาย ค่าทนายความแก่โจทก์ แต่ก็เป็นเช็คที่สั่งจ่ายเพื่อชำระหนี้ที่เกี่ยวเนื่องกับหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าว หาใช่เป็นเช็คคนละส่วนคนละตอนกับมูลหนี้ตามเช็คทั้ง 37 ฉบับไม่ เมื่อหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้มีมูลหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายรวมอยู่ด้วย หนี้ตามเช็คพิพาทซึ่งเป็นหนี้เกี่ยวเนื่องกันย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วยกรณีจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายในความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค

ย่อยาว

คดีนี้เดิมศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกันกับคดีหมายเลขดำที่ ช.3687/2529 หมายเลขแดงที่ ช.5347/2531 คดีหมายเลขดำที่ช.3688/2529 หมายเลขแดงที่ ช.5348/2531 และคดีหมายเลขดำที่ช.3794/2529 หมายเลขแดงที่ ช.5349/2531 ของศาลชั้นต้น แต่คดีทั้งสามสำนวนดังกล่าวยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คงมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาเฉพาะคดีนี้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 จำคุกคนละ 3 เดือน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์คดีนี้ด้วยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริง ที่ศาลล่างทั้งสองรับฟังมาโดยคู่ความไม่โต้แย้งเป็นที่ยุติว่า จำเลยที่ 1 ได้กู้เงินโจทก์หลายครั้งตั้งแต่ปี 2517 โดยออกเช็คลงวันที่ล่วงหน้าให้ไว้ในปี 2524 โจทก์นำเช็คบางฉบับที่เรียกเก็บเงินไม่ได้ไปแจ้งความดำเนินคดี ต่อมาวันที่ 9 กรกฎาคม 2527 คู่ความตกลงประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยที่ 1 ทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้กับโจทก์ในจำนวนเงิน 1,500,000 บาท ได้ชำระให้โจทก์ในวันนั้นจำนวน 200,000บาท เป็นเช็คธนาคารสหธนาคาร จำกัด สาขาลาดพร้าว ลงวันที่17 กรกฎาคม 2527 ส่วนที่เหลือจำเลยทั้งสองออกเช็คลงวันที่ล่วงหน้ารวม 36 ฉบับ ฉบับละ 44,236 บาท และอีกฉบับหนึ่งจำนวน 58,500 บาทคือเช็คพิพาท เป็นค่าใช้จ่าย ค่าเสียหาย ค่าทนายความในการทวงถามตามเช็ค เมื่อเช็คพิพาทถึงกำหนดชำระ โจทก์นำไปเรียกเก็บเงินแต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่า “โปรดติดต่อผู้สั่งจ่าย” ตามใบคืนเช็ค จ.13 หนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้เกิดจากหนี้เงินกู้ต้นเงินเพียง 460,459 บาท นอกนั้นเป็นดอกเบี้ยที่โจทก์คิดเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ในชั้นนี้เพียงว่า การที่จำเลยทั้งสองออกเช็คพิพาทให้โจทก์ดังกล่าว จำเลยทั้งสองจะมีความผิดตามฟ้องหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เช็คพิพาทเป็นเช็คที่จำเลยทั้งสองออกให้โจทก์พร้อมกับเช็คฉบับอื่นอีก 37 ฉบับ ในการตกลงประนีประนอมยอมความกันตามหนังสือรับสภาพหนี้ อันมีมูลหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายรวมอยู่ด้วยดังนี้ แม้เช็คพิพาท 9 จะออกให้เพื่อชำระค่าใช้จ่าย ค่าเสียหายค่าทนายความแก่โจทก์ แต่ก็เป็นเช็คที่สั่งจ่ายเพื่อชำระหนี้ที่เกี่ยวเนื่องกับหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าว หาใช่เป็นเช็คคนละส่วนคนละตอนกับมูลหนี้ตามเช็คทั้ง 37 ฉบับ ดังที่โจทก์ฎีกาไม่เมื่อหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้มีมูลหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายรวมอยู่ด้วย หนี้ตามเช็คพิพาท ซึ่งเป็นหนี้เกี่ยวเนื่องกันย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย กรณีจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายในความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค
พิพากษายืน

Share