แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้หนังสือสัญญาซื้อขาย ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร แต่จำเลยก็มีพยานบุคคลผู้รู้เห็นการทำสัญญาและเห็นจำเลยจ่ายเงินให้โจทก์และเข้าอยู่อาศัยในบ้านและที่ดินพิพาทส่วนโจทก์ย้ายไปอยู่ที่อื่น จึงฟังได้ว่าโจทก์ได้โอนสิทธิครอบครองเนื่องจากมีการซื้อขายที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1377,1378 ซึ่งไม่ต้องมีแบบ การโอนที่ดินพิพาทโดยข้อเท็จจริงคือโจทก์มอบการครอบครองให้จำเลยและจำเลยก็ได้เข้าครอบครอง ไม่ใช่เป็นการโอนโดยทำตามแบบคือทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โจทก์ไม่มีหน้าที่ในทางนิติกรรมที่จะต้องไปใส่ชื่อจำเลยในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามฟ้องแย้ง ดังนี้ศาลพิพากษาบังคับตามคำขอฟ้องแย้งของจำเลยหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณ 2 เดือนมานี้ จำเลยได้ขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินตาม น.ส. 3 ก เลขที่ 293 ตำบลนาดินดำอำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ 79 ตารางวาราคาประมาณ 10,000 บาท ซึ่งโจทก์เป็นเจ้าของและครอบครองอยู่โดยจำเลยอ้างว่า จำเลยได้ซื้อที่ดินดังกล่าวมาจากโจทก์การกระทำของจำเลยเป็นการรบกวนสิทธิของโจทก์โดยปกติสุขจึงขอให้มีคำสั่งว่า ที่ดินพิพาทตาม น.ส. 3 ก. ทะเบียนเลขที่ 293 เล่ม 3 ข. หน้า 43 เลขที่ดิน 225 ตำบลนาดินดำอำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย เป็นของโจทก์ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องหรือแสดงสิทธิในที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยจำเลยซื้อจากโจทก์และสามีโจทก์เมื่อเดือนธันวาคม 2524 ราคา30,000 บาท ซึ่งมีบ้านอยู่ 1 หลัง จำเลยได้ชำระเงินครบถ้วนแล้วโจทก์และสามีโจทก์ได้มอบโอนบ้านและที่ดินให้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย จำเลยได้ครอบครองตลอดมาจนถึงปัจจุบันเกิน 1 ปีแล้วที่ดินและบ้านเป็นของจำเลย โจทก์ไม่ได้ครอบครองที่ดินพิพาทการที่จำเลยบอกกล่าวขับไล่โจทก์ไม่เป็นการรบกวนสิทธิครอบครองของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้ศาลสั่งแสดงสิทธิในที่ดินพิพาท จึงถือว่าโจทก์รบกวนสิทธิครอบครองของจำเลย และเป็นการโต้แย้งสิทธิจำเลย จำเลยจึงขอฟ้องแย้งว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยขอให้ยกฟ้องโจทก์และพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยห้ามมิให้โจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้องหรือแสดงสิทธิในที่ดินดังกล่าวต่อไป ให้โจทก์โอนใส่ชื่อจำเลยลงใน น.ส. 3 ก. ดังกล่าว ถ้าโจทก์ไม่กระทำก็ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่เคยขายที่ดินให้จำเลยและไม่เคยมอบการครอบครองที่ดินและบ้านให้จำเลย จำเลยไม่เคยเข้าไปทำประโยชน์และครอบครองที่ดินพิพาท ทั้งตามประมวลกฎหมายที่ดินซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษบังคับว่า การโอนสิทธิครอบครองในที่ดินซึ่งมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์นั้น ถ้าไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การโอนย่อมเป็นโมฆะ ดังนี้จึงนำประมวลประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1378 มาใช้บังคับหาได้ไม่ ดังนั้นหากโจทก์ได้มอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้จำเลยจริง จำเลยก็ไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทจำเลยไม่มีอำนาจฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์โอนใส่ชื่อจำเลยใน น.ส. 3 ก. หมายเลข 1 ในกำหนด 30 วัน หากไม่ปฎิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย (น่าจะหมายถึงแทนโจทก์) ห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทตั้งแต่วันอ่านคำพิพากษาเป็นต้นไป
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของจำเลยที่ขอให้โจทก์โอนชื่อทางทะเบียนใน น.ส.3 ก. เลขที่ 293 ให้จำเลยเสีย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นตามทางนำสืบของโจทก์ว่า ขณะที่โจทก์ฟ้องคดีจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองบ้านซึ่งอยู่บนที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่า มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้ว คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยว่า โจทก์หรือจำเลยเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาทโจทก์ฎีกาว่า สัญญาซื้อขายตามเอกสารหมาย ล.1 ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร ทั้งไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงเป็นโมฆะ ฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีสิทธิในที่ดินพิพาทนั้น เห็นว่า แม้หนังสือสัญญาซื้อขายตามเอกสารหมาย ล.1 ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร แต่จำเลยก็มีนายเย็น ดำไล้ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 3 ตำบลนาดินดำ และนายพาน วรรณไชย ซึ่งรู้เห็นการขายบ้านและที่ดินพิพาทมาเบิกความว่า นายเย็นเป็นผู้เขียนสัญญา นายพานได้ลงชื่อเป็นพยานในสัญญา นายแก่นสามีโจทก์ลงชื่อเป็นผู้ขาย จำเลยจ่ายเงินให้โจทก์แล้ว โจทก์ก็ไปอยู่กรุงเทพ จำเลยก็เข้าอยู่อาศัยในบ้านและที่ดินพิพาทจึงฟังได้ว่า โจทก์ได้โอนสิทธิครอบครองเนื่องจากมีการซื้อขายที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377, 1378ซึ่งไม่ต้องมีแบบเมื่อปรากฎว่าจำเลยได้เข้าครอบครองยึดถือที่ดินพิพาท หลังจากทำการซื้อจากโจทก์แล้ว จำเลยจึงได้มาซึ่งสิทธิครอบครอง หาจำต้องทำตามแบบของนิติกรรมไม่ และการโอนโดยข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่เป็นโมฆะดังที่โจทก์ฎีกา จำเลยจึงเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาท จึงไม่ต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์ ที่จำเลยฎีกาขอให้โจทก์โอนใส่ชื่อจำเลยในหนังสือรับรองการทำประโยชน์นั้น เห็นว่า กรณีนี้เป็นการโอนโดยข้อเท็จจริงคือโจทก์มอบการครอบครองให้จำเลย และจำเลยก็ได้เข้าครอบครองไม่ใช่เป็นการโอนโดยทำตามแบบคือทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โจทก์ไม่มีหน้าที่ในทางนิติกรรมแต่อย่างใด ที่จะต้องไปใส่ชื่อจำเลยในหนังสือรับรองการทำประโยชน์จึงพิพากษาบังคับตามคำขอฟ้องแย้งของจำเลยหาได้ไม่”
พิพากษายืน