แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยนั่งดื่มสุราอยู่ในกลุ่มวัยรุ่น 5-6 คน เมาสุราส่งเสียงเอะอะ เจ้าพนักงานตำรวจเข้าไปตักเตือนห้ามปราบและจะขอจับกุมวัยรุ่นกลุ่มนั้นกลุ้มรุมทำร้ายเจ้าพนักงานตำรวจจำเลยไม่ได้ลงมือทำร้ายร่างกายด้วย แต่การที่จำเลยยืนดูอยู่ห่างประมาณ 5 เมตร ยกเก้าอี้เหล็กขึ้นเพื่อคอยช่วยเหลือเพื่อนของจำเลยในการต่อสู้ทำร้ายเจ้าพนักงานตำรวจ ถือได้ว่าจำเลยได้ร่วมกันกับพวกทำร้ายร่างกายและต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่แล้ว.
ย่อยาว
คดีนี้เดิมศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกันมากับคดีหมายเลขแดงที่ 6887/2527 ของศาลชั้นต้น แต่คดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกรวม 5 คน ได้ร่วมกันทำร้ายร่างกายและต่อสู้ขัดขวางพลตำรวจสันติชัย ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 90, 138, 140, 295, 297, 298
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา138, 140, 295 ลงโทษตามมาตรา 140 วรรคแรกซึ่งเป็นบทหนัก จำเลยอายุ 19 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่ง จำคุก 6 เดือน ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ในวันเวลาเกิดเหตุ พลตำรวจสันติชัยผู้เสียหายปฏิบัติหน้าที่สายตรวจขับรถจักรยานยนต์ผ่านหน้าร้านอาหารพบกันที่ถนนสุขสวัสดิ์ แขวงราษฎร์บูรณะ เขตราษฎร์บูรณะกรุงเทพมหานครรับแจ้งจากเจ้าของร้านว่ามีวัยรุ่น 5 – 6 คน เมาสุราส่งเสียงเอะอะ ขอให้ไปช่วยว่ากล่าวตักเตือน ผู้เสียหายเข้าไปตักเตือน วัยรุ่นไม่เชื่อฟัง ผู้เสียหายเดินเข้าไปจะควบคุมตัว วัยรุ่นกลุ่มนั้นใช้ขวดสุราชนิดแบนตีใบหน้าและรุมชกต่อยผู้เสียหายได้รับอันตรายบาดเจ็บ จำเลยอยู่ในที่เกิดเหตุด้วย
แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า คงเหลือปัญหาเพียงว่าจำเลยร่วมกับพวกต่อสู้ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายด้วยหรือไม่ เห็นว่า การที่ผู้เสียหายเบิกความว่า ผู้เสียหายถูกวัยรุ่นกลุ่มนั้นทำร้ายร่างกายโดยบางคนเข้ามาต่อยบางคนยกเก้าอี้เหล็กตี คนต่อยคนล็อคคอล็อคแขนจะเป็นวัยรุ่นคนใดจำไม่ได้นั้นก็อาจจะเป็นเพราะวัยรุ่นมีถึง 5 – 6 คน และเหตุการณ์ชุลมุนสับสนแต่ผู้เสียหาย และนายสุรัติ สักการเวช พยานโจทก์เจ้าของร้านเกิดเหตุก็เบิกความยืนยันว่า จำเลยอยู่ในกลุ่มวัยรุ่นดังกล่าวด้วยในขณะเกิดเหตุต่อสู้ทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย จำเลยเองได้เบิกความยอมรับว่า ในชั้นสอบสวนจำเลยได้เล่าเหตุการณ์ต่อพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนบันทึกไว้และอ่านให้จำเลยฟัง จำเลยจึงได้ลงลายมือชื่อไว้ ปรากฏตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.10 ซึ่งตามบันทึกคำให้การดังกล่าว จำเลยให้ถ้อยคำไว้ว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยยืนดูอยู่ห่างประมาณ 5 เมตร และเตรียมตัวป้องกันโดยยกเก้าอี้เหล็กขึ้นมาสูงประมาณหน้าอก ต่อมาเห็นว่าอาจถูกจับได้จึงวิ่งหลบหนีไป แม้ในตอนต้น จำเลยจะให้ถ้อยคำว่าเมื่อเพื่อนของจำเลยส่งเสียงเอะอะโวยวาย จำเลยได้ลุกไปนั่งที่โต๊ะอื่นแต่ผู้เดียวก็ตามแต่ก็ไม่มีเหตุผลว่าเมื่อเกิดเหตุต่อสู้ทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย ทำไมจำเลยจึงยังคงยืนอยู่ต่อไป การที่จำเลยยกเก้าอี้เหล็กขึ้น น่าจะเพื่อคอยช่วยเหลือเพื่อนของจำเลยในการต่อสู้ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายมากกว่า จึงน่าเชื่อว่า จำเลยอยู่ในกลุ่มวัยรุ่นที่ต่อสู้ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายและถือได้ว่าจำเลยได้ร่วมกันกับพวกกระทำความผิดดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา138, 140 วรรคแรก, 295 ประกอบด้วยมาตรา 83 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 140 วรรคแรกซึ่งเป็นบทหนัก จำเลยอายุ 19 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งแล้วจำคุก 6 เดือน ลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 เดือน จำเลยยังเป็นนักเรียนจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปีนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.