แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ทางสาธารณประโยชน์ที่ระบุไว้ในแผนที่หนังสือรับรองการทำประโยชน์ของที่ดินโจทก์ปัจจุบันหมดสภาพเป็นทางสาธารณประโยชน์แล้วนอกจากทางพิพาทแล้วที่ดินโจทก์ไม่มีทางอื่นใดออกสู่ทางสาธารณะอีก ทางพิพาทจึงเป็นทางจำเป็น ของที่ดินโจทก์ซึ่งโจทก์และบริวารใช้เป็นทางเข้าออกสู่ ทางสาธารณะการที่จำเลยมาล้อมรั้วลวดหนามปิดกั้นทางดังกล่าว โจทก์ย่อมฟ้องขอให้รื้อถอนรั้วลวดหนามเพื่อเปิดทางพิพาทได้ ตามนัยแห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 วรรคหนึ่ง ปัญหาว่า ตามแผนที่ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของที่ดินโจทก์ระบุว่า ที่ดินโจทก์ตั้งอยู่ติดกับทางสาธารณประโยชน์อันเป็นเอกสารมหาชนการที่โจทก์นำสืบว่าปัจจุบันทางสาธารณประโยชน์ดังกล่าวสิ้นสภาพ และไม่มีอีกต่อไปเป็นการนำสืบ เปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร ต้องห้ามมิให้นำสืบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 หรือไม่นั้นเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จำเลยเพิ่งยกขึ้นมากล่าวอ้างในคำแก้ฎีกาจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำรั้วลวดหนามปิดทางมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินใช้เป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะ ซึ่งโจทก์และบริวารใช้ทางดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 2519 ถึงปัจจุบันเป็นเวลา19 ปี แล้วโดยไม่มีผู้ใดคัดค้าน ขอให้บังคับจำเลยรื้อรั้วลวดหนามเปิดทางแก่โจทก์ตามสภาพเดิม หากจำเลยบิดพลิ้วให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน โดยให้โจทก์ดำเนินการเองและคิดค่าใช้จ่ายจากจำเลย
จำเลยให้การว่า ที่ดินของโจทก์ด้านทิศตะวันตกติดทางสาธารณะอยู่แล้ว แต่โจทก์กลับล้อมรั้วบ้านทับทางดังกล่าวไม่ใช้เป็นทางออกสู่ทางสาธารณะ โจทก์เคยขออนุญาตใช้ที่ดินบางส่วนของจำเลยเป็นทางออกกว้างประมาณ 1 เมตร เมื่อโจทก์กับสามีย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่อื่น จำเลยจึงปิดทาง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนลวดหนามและเปิดทางให้โจทก์ใช้เป็นทางออกสู่ทางสาธารณะมีความกว้าง 3 เมตรจากริมกำแพงตามแนวทางพิพาทเดิมยาวตลอดแนวที่ดินของจำเลยคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นหรือไม่ โจทก์ฟ้องและนำสืบว่าโจทก์และบริวารใช้ทางพิพาทเข้าออกสู่ทางสาธารณะมาตั้งแต่โจทก์ซื้อที่ดินพร้อมบ้านจากนางเฟืองเมื่อปี 2519 จนถึงปัจจุบันโดยนางเฟืองใช้ทางพิพาทเข้าออกสู่ทางสาธารณะอยู่ก่อนแล้วต่อมาเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2537 จำเลยถมดินทางพิพาทแล้วปักเสาทำรั้วลวดหนามปิดทางพิพาทจนโจทก์ไม่มีทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะ แม้ตามแผนที่ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินโจทก์ระบุว่าที่ดินโจทก์ตั้งอยู่ติดกับทางสาธารณประโยชน์ทางด้านทิศตะวันตก แต่ปัจจุบันไม่มีทางสาธารณประโยชน์ดังกล่าวเนื่องจากมีที่ดินของผู้อื่นปิดกั้นไปหมด และศาลฎีการับฟังข้อเท็จจริงได้ว่า ทางสาธารณประโยชน์ที่ระบุไว้ในแผนที่หนังสือรับรองการทำประโยชน์ของที่ดินโจทก์ปัจจุบันหมดสภาพเป็นทางสาธารณประโยชน์อีกต่อไป และนอกจากทางพิพาทแล้วที่ดินโจทก์ไม่มีทางอื่นใดออกสู่ทางสาธารณะอีก ทางพิพาทจึงเป็นทางจำเป็นของที่ดินโจทก์ ซึ่งโจทก์และบริวารใช้เป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะอยู่ก่อน จำเลยมาล้อมรั้วลวดหนามปิดกั้นทางดังกล่าว โจทก์ย่อมฟ้องขอให้รื้อถอนรั้วลวดหนามเพื่อเปิดทางพิพาทได้ ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 วรรคหนึ่ง
ส่วนปัญหาว่า ตามแผนที่ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของที่ดินโจทก์ระบุว่า ที่ดินโจทก์ตั้งอยู่ติดกับทางสาธารณประโยชน์อันเป็นเอกสารมหาชน โจทก์นำสืบว่าปัจจุบันทางสาธารณประโยชน์ดังกล่าวสิ้นสภาพ และไม่มีอีกต่อไปนั้นเป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร ต้องห้ามมิให้นำสืบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 หรือไม่เห็นว่า ข้อกฎหมายดังกล่าวเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 จำเลยเพิ่งยกขึ้นมากล่าวอ้างเป็นข้อแก้ฎีกา ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น