แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยให้การว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์กับพวกร่วมกันทุจริต ลักรถยนต์ของจำเลย โดยมอบกุญแจรถยนต์และชุดโอนทะเบียนให้ บุคคลอื่นไปโดยมิได้ทำหนังสือรับรถยนต์ไว้จงใจทำให้จำเลยได้รับ ความเสียหายแล้วยังให้การต่อไปด้วยว่า โจทก์กระทำการฝ่าฝืนต่อ ข้อบังคับคำสั่งและระเบียบการทำงานของจำเลยอย่างร้ายแรงด้วย ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกับข้อเท็จจริงในตอนต้นว่าโจทก์มิได้ปฏิบัติตาม ระเบียบข้อบังคับหรือคำสั่งในการจำหน่ายและส่งมอบรถยนต์ให้แก่บุคคลอื่นนั่นเอง ซึ่งตามข้อเท็จจริงนั้นจำเลยเลิกจ้างโจทก์ก็เพราะ โจทก์กระทำการดังกล่าวแต่ประการเดียว หามีเหตุการณ์อื่นที่จำเลย อาศัยเป็นเหตุแห่งการเลิกจ้างไม่การที่จำเลยใช้ถ้อยคำในคำสั่งเลิกจ้าง ว่าโจทก์บกพร่องต่อหน้าที่และทำให้จำเลยได้รับความเสียหายนั้น ก็เกิดจากการกระทำของโจทก์ดังกล่าวการกระทำที่เป็นการบกพร่องนั้น อาจเกิดจากการกระทำโดยเจตนาที่จะฝ่าฝืนระเบียบ ข้อบังคับหรือคำสั่ง ของจำเลยหรือไม่ก็ได้ และย่อมหมายถึงไม่ปฏิบัติหน้าที่ให้เต็มตามหน้าที่ ที่ตนพึงต้องปฏิบัติโดยมีเจตนาทุจริตหรือไม่ก็ได้เช่นเดียวกัน สาเหตุแห่งการเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นสาเหตุอันเดียวกันกับที่จำเลยได้ ให้การต่อสู้คดีแล้วนั่นเอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างประจำของจำเลยได้รับค่าจ้างเดือนละ 3,000 บาทเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2527 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์มิได้กระทำผิดและไม่บอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมาย และจำเลยยังค้างค่าจ้างให้โจทก์อีก 2,500 บาทขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย 9,000 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า3,000 บาท และค่าจ้างค่าจ่าย 2,500 บาทแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์กับพวกร่วมกันทุจริตและจงใจทำให้จำเลยเสียหายโดยร่วมกันลักรถยนต์โตโยต้าคันหมายเลขเครื่องยนต์ 4 เค-6281938 ไปจากจำเลย โดยมิได้ทำหนังสือรับรถยนต์ไว้แก่จำเลย พร้อมทั้งได้มอบชุดโอนทะเบียนรถยนต์และกุญแจรถยนต์ให้แก่บุคคลอื่นไป ซึ่งจำเลยมิได้รู้เห็นและไม่ได้ขายรถยนต์คันดังกล่าวให้แก่บุคคลใด การกระทำของโจทก์กับพวกถือได้ว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ และเป็นความผิดอาญาโดยเจตนาแก่จำเลยจงใจทำให้จำเลยเสียหาย ทั้งฝ่าฝืนข้อบังคับ คำสั่งและระเบียบการทำงานของจำเลยอย่างร้ายแรง จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้ทันทีโดยมิต้องบอกกล่าวล่วงหน้าโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าชดเชย และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ข้อนำสืบของจำเลยที่อ้างว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่และจงใจทำให้นายจ้างเสียหาย เป็นเรื่องที่จำเลยยกข้ออ้างขึ้นใหม่ ไม่ใช่สาเหตุของการเลิกจ้างซึ่งจำเลยถือเป็นเหตุเลิกจ้างตามคำสั่งของจำเลย จึงรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์กระทำผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่และจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหายพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินตามฟ้องให้โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า นอกจากจำเลยให้การต่อสู้คดีว่าโจทก์กระทำการทุจริตต่อหน้าที่และเป็นการกระทำผิดอาญาโดยเจตนาแก่จำเลยและจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย จำเลยยังให้การต่อสู้ต่อไปด้วยว่า โจทก์กระทำการฝ่าฝืนต่อข้อบังคับ คำสั่งและระเบียบการทำงานของจำเลยอย่างร้ายแรงด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับข้อเท็จจริงของคำให้การของจำเลยในตอนต้นนั้นที่ว่า โจทก์มิได้ปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับหรือคำสั่งในการจำหน่ายและส่งมอบรถยนต์ให้แก่บุคคลอื่นนั่นเอง ซึ่งตามข้อเท็จจริงนั้นจำเลยมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ก็เนื่องจากโจทก์กระทำการดังกล่าวแต่เพียงประการเดียวหาได้มีเหตุการณ์อื่นใดนอกจากการกระทำของโจทก์ข้อนี้ที่จำเลยได้อาศัยเป็นเหตุแห่งการเลิกจ้างไม่ การที่จำเลยใช้ถ้อยคำในคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ว่าโจทก์บกพร่องต่อหน้าที่และทำให้จำเลยได้รับความเสียหายนั้น ก็เกิดจากการกระทำของโจทก์รายเดียวกันกับกรณีพิพาทในคดีนี้ กาารกระทำที่เป็นการบกพร่องนั้นอาจเกิดจากการกระทำโดยเจตนาที่จะฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับหรือคำสั่งของจำเลยหรือไม่ก็ได้ และย่อมหมายความถึงไม่ปฏิบัติหน้าที่ให้เต็มตามหน้าที่ที่ตนพึงต้องปฏิบัติโดยมีเจตนาทุจริตหรือไม่ก็ได้เช่นเดียวกัน สาเหตุแห่งการเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นสาเหตุอันเดียวกันกับที่จำเลยได้ให้การต่อสู้คดีแล้วนั่นเอง
พิพากษายกคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาพิพากษาตามประเด็นต่อไป