แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ป.อ. มาตรา 1 (11) คำว่า “กลางคืน” หมายความว่า เวลาระหว่างพระอาทิตย์ตกและพระอาทิตย์ขึ้น โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันลักทรัพย์ของผู้เสียหายเมื่อระหว่างวันที่ 20 สิงหาคม 2555 เวลากลางคืนหลังเที่ยง ถึงวันที่ 21 สิงหาคม 2555 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง เวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ดังนั้น เวลาเกิดเหตุตามฟ้องของโจทก์คือ ตั้งแต่เวลาพระอาทิตย์ตกของวันที่ 20 สิงหาคม 2555 ถึงเวลา 24 นาฬิกา ของวันเดียวกัน และเวลา 0.01 นาฬิกา ของวันที่ 21 สิงหาคม 2555 ไปแล้ว จนถึงเวลาพระอาทิตย์ขึ้นของวันเดียวกัน จึงเป็นเวลากลางคืนของวันที่ 20 และ 21 สิงหาคม 2555 ติดต่อกัน การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๘, ๘๓, ๓๓๕, ๓๓๖ ทวิ, ๓๕๗ บวกโทษจำคุกของจำเลยที่ ๑ ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๖๖๘๐/๒๕๕๔ ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษของจำเลยที่ ๑ ในคดีนี้ และนับโทษจำเลยที่ ๑ ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๔๓๗๓/๒๕๕๕ ของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑ ให้การรับสารภาพในข้อหาลักทรัพย์ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษและนับโทษต่อ
จำเลยที่ ๒ ให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยที่ ๒ เข้ามาใหม่ และจำหน่ายคดีชั่วคราวเฉพาะจำเลยที่ ๒ จากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๑) วรรคแรก ประกอบมาตรา ๓๓๖ ทวิ จำคุก ๔ ปี ๖ เดือน จำเลยที่ ๑ ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๒ ปี ๓ เดือน บวกโทษจำคุก ๖ เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๖๖๘๐/๒๕๕๔ ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษคดีนี้ เป็นจำคุก ๒ ปี ๙ เดือน นับโทษจำคุกของจำเลยที่ ๑ ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๔๓๗๓/๒๕๕๕ ของศาลชั้นต้น ยกฟ้องข้อหารับของโจร
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๕ พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๗) วรรคแรก ประกอบมาตรา ๓๓๖ ทวิ, ๘๓ นอกจากที่แก้ให้เป็นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันลักทรัพย์ของผู้เสียหายเมื่อระหว่างวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๕ เวลากลางคืนหลังเที่ยง ถึงวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๕ เวลากลางคืนก่อนเที่ยง เวลาใดไม่ปรากฏชัด
จำเลยที่ ๑ ให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าเหตุเกิดเมื่อระหว่างวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๕ เวลากลางคืนหลังเที่ยง ถึงวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๕ เวลากลางคืนก่อนเที่ยง ซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑ (๑๑) คำว่า “กลางคืน” หมายความว่าเวลาระหว่างพระอาทิตย์ตกและพระอาทิตย์ขึ้น ดังนั้น เวลาเกิดเหตุตามฟ้องของโจทก์คือ ตั้งแต่เวลาพระอาทิตย์ตกของวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๕ ถึงเวลา ๒๔ นาฬิกา ของวันเดียวกัน และเวลา ๐.๐๑ นาฬิกา ของวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๕ ไปแล้ว จนถึงเวลาพระอาทิตย์ขึ้นของวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๕ จึงเป็นเวลากลางคืนของวันที่ ๒๐ และ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๕ ติดต่อกัน การกระทำของจำเลยที่ ๑ จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๕ วินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ได้
กระทำความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืนนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๑) (๗) วรรคสอง ประกอบมาตรา ๓๓๖ ทวิ, ๘๓ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๕