แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หลังจากผู้ร้องยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2532 ขอให้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยเงินที่ขายหรือจำหน่ายที่ดินของจำเลยแล้ว ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องอื่นรวมทั้งคำแถลงต่อศาลอีกหลายครั้ง และตามรายงานการเดินหมายของเจ้าหน้าที่ศาลลงวันที่28 มิถุนายน 2532 ก็ระบุว่าเจ้าหน้าที่ศาลได้นำหมายนัดไปส่งแก่จำเลยด้วย แต่ส่งไม่ได้ การที่ผู้ร้องยื่นคำแถลงเมื่อวันที่3 กรกฎาคม 2532 ว่า ยังส่งสำเนาคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ให้จำเลยไม่ได้ขอให้เจ้าหน้าที่ศาลส่งหมายนัดให้จำเลยอีกครั้งแสดงว่าผู้ร้องทราบดีว่าศาลกำหนดวันนัดพิจารณาคำร้องและผู้ร้องทราบวันนัดนั้นแล้วดังนั้น การที่ฝ่ายผู้ร้องไม่ไปศาลในวันนัดจึงเป็นการทราบคำสั่งแล้วเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลกำหนด ซึ่งเป็นการทิ้งคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) กรณีที่ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีอื่นร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของจำเลยในคดีที่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้จำนองยึดไว้เพื่อขายทอดตลาดนั้น มิใช่เป็นกรณีเฉลี่ยทรัพย์โดยตรงกับโจทก์เพราะโจทก์เป็นเจ้าหนี้จำนองแต่เป็นกรณีที่ผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากเงินที่เหลือภายหลังที่ได้ชำระให้แก่โจทก์แล้ว ต้องนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 มาบังคับใช้โดยอนุโลมเมื่อการขายทอดตลาดครั้งหลังที่โจทก์เป็นผู้ประมูลได้ ยังไม่มีการยกเลิกโดยคำสั่งใดต้องถือว่ามีการขายทอดตลาดแล้ว ผู้ร้องต้องยื่นคำร้องก่อนสิ้นระยะเวลา 14 วัน นับแต่วันที่ขายทอดตลาด
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่ตามสัญญาจำนองและค้ำประกัน ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ชำระหนี้แก่โจทก์มิฉะนั้นให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3ออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ จำเลยทั้งสี่ไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์จึงขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยที่ 1 ขายทอดตลาดเอาเงินมาชำระหนี้
ผู้ร้องยื่นคำร้องฉบับแรกลงวันที่ 19 มิถุนายน 2532 ว่าผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 1 ในคดีอื่นซึ่งศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยจำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินอื่นที่ผู้ร้องจะบังคับคดีได้ ขอให้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยเงินที่ขายหรือจำหน่ายที่ดินของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว
ศาลชั้นต้นนัดพิจารณาคำร้อง เมื่อถึงวันนัดไม่มีคู่ความฝ่ายใดไปศาลหรือแจ้งเหตุขัดข้อง ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่า ถือว่าผู้ร้องไม่ติดใจตามคำร้อง ให้ยกคำร้อง
ต่อมาวันที่ 22 สิงหาคม 2532 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์อีกฉบับหนึ่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ยื่นเมื่อพ้นกำหนด ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้ร้องฎีกาประการแรกว่า ผู้ร้องไม่ทราบวันนัดพิจารณาคำร้องในวันที่ 24 กรกฎาคม 2532 เพราะเมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องแล้วผู้ร้องเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร ศาลชั้นต้นเพิ่งกำหนดวันนัดพิจารณาคำร้องในวันรุ่งขึ้น คือวันที่ 20 มิถุนายน 2532ซึ่งตามกฎหมายแล้ว ศาลชั้นต้นจะต้องแจ้งวันนัดให้ผู้ร้องทราบก่อนจึงจะสั่งว่าผู้ร้องเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลกำหนดไว้ได้ศาลฎีกาเห็นว่า หลังจากยื่นคำร้องลงวันที่ 19 มิถุนายน 2532 แล้วทนายผู้ร้องได้ยื่นคำร้องอื่นรวมทั้งคำแถลงต่อศาลอีกหลายครั้งและตามรายงานการเดินหมายของเจ้าหน้าที่ศาลลงวันที่ 28 มิถุนายน 2532ก็ระบุว่าเจ้าหน้าที่ศาลได้นำหมายนัดไปส่งแก่จำเลยทั้งสี่ด้วยแต่ส่งไม่ได้ การที่ทนายผู้ร้องยื่นคำแถลงเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม2532 ว่า ยังส่งสำเนาคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ให้จำเลยทั้งสี่ไม่ได้รายละเอียดปรากฏตามรายงานการเดินหมายของเจ้าหน้าที่ศาล ขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ศาลส่งหมายนัดให้จำเลยทั้งสี่อีกครั้งนั้นแสดงว่าทนายผู้ร้องทราบดีว่าศาลกำหนดวันนัดพิจารณาคำร้องและทนายผู้ร้องทราบวันนัดนั้นแล้ว ดังนั้น การที่ฝ่ายผู้ร้องไม่ไปศาลในวันนัดจึงเป็นการทราบคำสั่งแล้วเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลกำหนด ซึ่งเป็นการทิ้งคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2)
ฎีกาข้อต่อมาของผู้ร้องว่า การร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของผู้ร้องยังไม่เกิน 14 วัน นับแต่มีการขายทอดตลาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 วรรคสี่ เรื่องนี้ยังไม่มีการขายทอดตลาดเพราะเมื่อโจทก์ประมูลได้ในการขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยที่ 1เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2532 นั้น นายเกษมสันต์ซึ่งประมูลได้เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2532 ยังอุทธรณ์คัดค้านการขายทอดตลาดครั้งหลังอยู่ ศาลฎีกาเห็นว่า กรณีนี้เป็นเรื่องที่ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีอื่นร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของจำเลยที่ 1ในคดีที่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้จำนองยึดไว้เพื่อขายทอดตลาดนั้นมิใช่เป็นกรณีเฉลี่ยทรัพย์โดยตรงกับโจทก์ เพราะโจทก์เป็นเจ้าหนี้จำนอง แต่เป็นกรณีที่ผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากเงินที่เหลือภายหลังที่ได้ชำระให้แก่โจทก์แล้ว ต้องนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 มาบังคับใช้โดยอนุโลมคือต้องยื่นคำร้องก่อนสิ้นระยะเวลา 14 วัน นับแต่วันที่มีการขายทอดตลาด เมื่อการขายทอดตลาดครั้งหลังในวันที่ 15 มีนาคม 2532 ที่โจทก์เป็นผู้ประมูลได้ ยังไม่มีการยกเลิกโดยคำสั่งใด ต้องถือว่ามีการขายทอดตลาดแล้วผู้ร้องต้องยื่นคำร้องก่อนสิ้นระยะเวลา 14 วันนับแต่วันที่ 15มีนาคม 2532 การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2532และวันที่ 22 สิงหาคม 2532 ย่อมเกินกำหนดระยะเวลา 14 วันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 วรรคสี่ แล้ว
พิพากษายืน