คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 432/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของโจทก์ในส่วนจำเลยที่ 3 เพราะต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง แต่การที่พยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามกระทำผิดเป็นเหตุในลักษณะคดีและเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 3 ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 59, 81 และ 337
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 337 ลงโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 4,000 บาท จำเลยที่ 3 ไม่เคยกระทำความผิดมาก่อนให้รอการลงโทษจำคุกให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56มีกำหนด 2 ปี ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2
โจทก์และจำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337 วรรคแรก ลงโทษจำคุกคนละ 1 ปีและปรับคนละ 4,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 มีกำหนดคนละ 2 ปี
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ส่วนฎีกาของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 เป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 จึงไม่รับ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสามได้กระทำผิดฐานกรรโชกตามที่โจทก์ฟ้อง สำหรับจำเลยที่ 3 แม้ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของโจทก์ในส่วนจำเลยที่ 3 เพราะต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง แต่การที่พยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่า จำเลยทั้งสามกระทำผิด เป็นเหตุในลักษณะคดีและเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ศาลชั้นต้นจะไม่รับฎีกาโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 3 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดฐานกรรโชกและลงโทษจำเลยมา ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share