คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2747/2551

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

พนักงานสอบสวนฝากขังจำเลยต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ซึ่งเป็นศาลที่ไม่มีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี แต่เมื่อศาลอาญากรุงเทพใต้อนุญาตให้พนักงานสอบสวนฝากขังจำเลยได้และอนุญาตให้ปล่อยตัวจำเลยชั่วคราว ก็ต้องถือว่าจำเลยถูกขังโดยหมายของศาลตาม ป.วิ.อ. มาตรา 87 และอยู่ในอำนาจศาลที่จะเรียกตัวจำเลยจากนายประกันได้ กรณีจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 141 วรรคสี่ ที่ให้พนักงานอัยการมีหน้าที่จัดการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้ได้ตัวจำเลยมา เพราะไม่ใช่กรณีที่จับตัวจำเลยไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2548 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 5 เม็ด น้ำหนัก 0.457 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าว 1 เม็ดน้ำหนัก 0.089 กรัม ให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อในราคา 300 บาท เหตุเกิดที่แขวงสี่แยกมหานาค เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ระหว่างการสอบสวนจำเลยถูกคุมขังตั้งแต่วันถูกจับตลอดมา ขณะนี้ต้องขังอยู่ตามหมายของศาลอาญากรุงเทพใต้ ในคดีหมายเลขดำที่ พย.1179/2548 ขอศาลเบิกตัวจำเลยมาพิจารณาพิพากษาต่อไป ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งประทับฟ้อง หมายขัง เบิกจำเลยมาสอบคำให้การ ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้พนักงานสอบสวนได้นำตัวจำเลยไปฝากขังที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ทั้งที่เหตุเกิดในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น ดังนั้น ขณะยื่นฟ้องจำเลยจึงมิได้ถูกควบคุมตัวตามอำนาจของศาลชั้นต้น ที่ศาลรับฟ้องไว้โดยโจทก์ไม่ได้นำตัวจำเลยมาส่งมอบต่อศาลในวันรับฟ้องหรือตัวจำเลยมิได้อยู่ในอำนาจตามหมายขังของศาลชั้นต้น จึงเป็นการรับฟ้องไว้โดยผิดหลง ให้เพิกถอนการรับฟ้องจำเลยในคดีนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 และให้จำหน่ายคดี
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณา
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความตามสำนวนว่าเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2548 พนักงานอัยการโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลที่มีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ โดยไม่ได้นำตัวจำเลยมาศาล และอ้างมาในฟ้องว่าจำเลยต้องขังตามหมายของศาลอาญากรุงเทพใต้ ขอให้ศาลชั้นต้นเบิกตัวจำเลยมาพิจารณาพิพากษาต่อไป และปรากฏว่าก่อนที่พนักงานอัยการโจทก์จะยื่นฟ้องจำเลยพนักงานสอบสวนได้ยื่นคำร้องขอฝากขังจำเลยในระหว่างสอบสวนคดีนี้ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ซึ่งเป็นศาลที่ไม่มีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ โดยศาลอาญากรุงเทพใต้ได้อนุญาตให้ฝากขังจำเลยเรื่อยมาซึ่งจะครบกำหนดฝากขังครั้งที่ 7 ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2548 และจำเลยได้รับอนุญาตจากศาลอาญากรุงเทพใต้ให้ปล่อยตัวชั่วคราวไปตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2548 คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ขณะโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้จำเลยอยู่ในอำนาจศาลแล้วหรือไม่ เห็นว่า ในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์นั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120 จะต้องมีการสอบสวนก่อน และมาตรา 142 วรรคสาม บัญญัติว่า “ในกรณีที่เสนอความเห็นควรสั่งฟ้อง ให้พนักงานสอบสวนส่งสำนวนพร้อมกับผู้ต้องหาไปยังพนักงานอัยการ เว้นแต่ผู้ต้องหานั้นถูกขังอยู่แล้ว” แสดงว่าถ้ามีการฝากขังต่อศาลไว้ก่อนแล้ว ในตอนเสนอความเห็นสั่งฟ้อง พนักงานสอบสวนไม่จำต้องส่งตัวผู้ต้องหามายังพนักงานอัยการ สำหรับคดีนี้แม้จะปรากฏว่าพนักงานสอบสวนฝากขังจำเลยต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ซึ่งเป็นศาลที่ไม่มีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีก็ตาม แต่เมื่อศาลอาญากรุงเทพใต้อนุญาตให้พนักงานสอบสวนฝากขังจำเลยได้และอนุญาตให้ปล่อยตัวจำเลยชั่วคราว ก็ต้องถือว่าจำเลยถูกขังโดยหมายของศาลตามบทบัญญัติในมาตรา 87 และอยู่ในอำนาจศาลที่จะเรียกตัวจำเลยจากนายประกันได้ กรณีจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 142 วรรคสี่ ที่บัญญัติให้พนักงานอัยการมีหน้าที่จัดการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้ได้ตัวจำเลยมาเพราะไม่ใช่กรณีที่จับตัวจำเลยไม่ได้ โจทก์จึงไม่จำต้องส่งตัวจำเลยมาพร้อมกับฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน

Share