แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นพ่อค้าเรียกค่าส่งมอบสินค้าประเภทเครื่องเขียนและแบบพิมพ์จากจำเลย ซึ่งได้รับมอบสินค้าจากโจทก์ในระหว่างเดือนตุลาคม 2519 ถึงเดือนมีนาคม 2520 โดยไม่มีใบสั่งซื้อที่ถูกต้องตามระเบียบของทางราชการคงมีแต่ใบยืมของชั่วคราว อันเป็นการสมัครใจของโจทก์เองโดยไม่คำนึงถึงระเบียบของทางราชการ จำเลยมีหนังสือลงวันที่ 20 สิงหาคม 2520 แจ้งให้โจทก์และผู้อื่นแจ้งหนี้ที่มีอยู่แก่จำเลยภายในวันที่ 25 สิงหาคม 2520 หาพ้นกำหนดแล้วจำเลยจะไม่รับผิดชอบและถือว่าเป็นหนี้สินส่วนตัว ซึ่งหมายความว่า ถ้ามีการสั่งซื้อโดยถูกต้องก็จะดำเนินการให้ภายในสิ้นเดือนกันยายน 2520 ซึ่งเป็นปีงบประมาณมิใช่เป็นการตกลงที่จะชำระให้เมื่อมีงบประมาณโดยไม่มีกำหนดเวลา และการที่จำเลยมีหนังสือลงวันที่ 19 กันยายน 2521 แจ้งให้โจทก์ทราบว่ากำลังตรวจสอบหนี้สินรายพิพาทอยู่ หากมีหลักฐานเชื่อถือได้ก็จะพิจารณาดำเนินการต่อไปตามความเหมาะสมนั้น แปลไม่ได้ว่าเป็นการขอผัดผ่อนหรือเป็นการรับสภาพหนี้โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2523 จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 (1)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าซื้อสินค้าเชื่อประเภทกระดาษและเครื่องเขียนจากจำเลย
จำเลยให้การต่อสู้หลายประการและว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้ว
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า หนี้ตามฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาที่ว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ดังนี้ ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ฟังได้ว่าโจทก์เป็นพ่อค้าเรียกค่าส่งมอบของหรือสินค้าจากจำเลยซึ่งรับมอบสินค้าโจทก์ในระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๑๙ ถึงเดือนมีนาคม ๒๕๒๐ โดยไม่มีใบสั่งซื้อที่ถูกต้องตามระเบียบของทางราชการ คงมีแต่ใบยืมของชั่วคราวตามเอกสารท้ายฟ้อง และโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๒๓ ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้โจทก์นำสืบแต่เพียงว่า การสั่งซื้อส่วนมากใช้โทรศัพท์หรือเขียนมาในเศษกระดาษ เมื่อโจทก์ส่งสินค้าให้ก็จะให้เจ้าหน้าที่ของจำเลยเซ็นรับในใบยืมของชั่วคราว เมื่อทางราชการมีงบประมาณเมื่อใดก็จะดำเนินการทำใบสั่งซื้อสินค้าตามรายการสินค้าที่รับไว้ตามใบยืมของชั่วคราว โดยไม่มีการส่งมอบของกันจริง ซึ่งโจทก์ถือว่าเป็นการซื้อขายเงินเชื่อโดยวิธีขอรับของไปใช้ในราชการก่อน ซึ่งวิธีปฏิบัติระหว่างโจทก์จำเลยดังกล่าวแม้จะฟังว่าเป็นการซื้อขายตามกฎหมายแต่ก็ไม่มีพยานหลักฐานที่แน่ชัดว่าใครเป็นผู้ทำความตกลงกับโจทก์ในเรื่องซื้อขายเงินเชื่อและชำระราคาให้เมื่อมีงบประมาณ คงมีแต่นายไพศาลหุ้นส่วนผู้จัดการของโจทก์คนเดียวที่เบิกความลอย ๆ โดยไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุน การที่โจทก์ส่งสินค้าไปเรื่อย ๆ ตามวิธีที่เคยปฏิบัติกันมาก็เป็นการสมัครใจของตนเองโดยไม่คำนึงถึงระเบียบของทางราชการ นอกจากนี้จำเลยเคยมีหนังสือลงวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๒๐ แจ้งให้บริษัทห้างร้านต่าง ๆ รวมทั้งโจทก์ด้วยทราบว่าถ้าบริษัทห้างร้านใดมีหนี้สินติดค้างกับวิทยาลัยฯ ให้แจ้งให้ทราบภายในวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๒๐ หากพ้นกำหนดแล้วทางวิทยาลัยฯ จะไม่รับผิดชอบ และถือว่าเป็นหนี้สินส่วนตัวซึ่งแปลความหมายได้ว่า ถ้ามีการสั่งซื้อโดยถูกต้องก็จะดำเนินการชำระให้ภายในสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๒๐ ซึ่งเป็นปีงบประมาณ หาใช่เป็นการตกลงที่จะชำระให้เมื่อมีงบประมาณโดยไม่มีกำหนดเวลาดังที่โจทก์เข้าใจไม่ การที่จำเลยมีหนังสือลงวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๒๑ แจ้งให้โจทก์ทราบว่าหนี้สินที่แจ้งไป (คือหนี้ที่พิพาทคดีนี้) กำลังตรวจสอบอยู่ หากมีหลักฐานเชื่อถือได้ก็จะพิจารณาดำเนินกาต่อไปตามความเหมาะสมนั้น ไม่มีทางที่จะแปลว่าเป็นการขอผัดผ่อน หรือเป็นการรับสภาพหนี้ตามกฎหมาย ฉะนั้นการที่โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๒๓ จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๕ (๑)
พิพากษายืน.