แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ประกอบกิจการสถานพยาบาลไม่มีชื่อ ซึ่งจัดไว้เพื่อประกอบโรคศิลปะ โดยจำเลยกระทำเป็นปกติธุระได้รับผลประโยชน์ตอบแทนและไม่ได้รับใบอนุญาตตามกฎหมายและจำเลยขายยาลูกกลอนอันเป็นยาที่มิได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาไว้กับกระทรวงสาธารณสุขให้แก่บุคคลทั่วไป ส่วนการที่จำเลยจะกระทำเป็นปกติธุระอย่างไร มีประชาชนหลงเชื่อเข้าไปให้จำเลยทำการรักษาพยาบาลกี่ราย จำเลยได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากผู้ใดบ้างกี่ครั้ง และจำเลยขายยาลูกกลอนให้แก่ผู้ใดบ้างนั้น เป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ประกอบกับการดำเนินคดีในศาลแขวงต้องการความรวดเร็ว จึงเปิดโอกาสให้โจทก์ฟ้องด้วยวาจาได้ โจทก์หาจำต้องบรรยายฟ้องโดยละเอียดดังเช่นคดีอาญาทั่วไปไม่ ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
การที่จำเลยประกอบกิจการสถานพยาบาลเพื่อประกอบโรคศิลปะและขายยาลูกกลอน จำเลยมีเจตนาที่ต่างกัน ย่อมเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2544 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 11 กรกฎาคม2544 เวลากลางวันต่อเนื่องกันวันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยประกอบกิจการสถานพยาบาล ซึ่งจัดไว้เพื่อประกอบโรคศิลปะ โดยตั้งสถานพยาบาลไม่มีชื่อบริเวณหน้าถ้ำบ้านเชิงดอย โดยจำเลยกระทำเป็นปกติธุระ ได้รับผลประโยชน์ตอบแทน และไม่ได้รับใบอนุญาตตามกฎหมาย และจำเลยขายยาลูกกลอน อันเป็นยาที่มิได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาไว้กับกระทรวงสาธารณสุขให้แก่บุคคลทั่วไป ทั้งนี้โดยจำเลยมิได้รับการยกเว้นแต่อย่างใด อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 มาตรา 16, 57พระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 72(4), 122, 126 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาลพ.ศ. 2541 มาตรา 16 วรรคหนึ่ง, 57 พระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 72(4),122 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานประกอบกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 6 เดือน ฐานขายยาที่มิได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาจำคุก 6 เดือน รวมจำคุก12 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง จำเลยได้ประกอบกิจการสถานพยาบาลไม่มีชื่อซึ่งจัดไว้เพื่อประกอบโรคศิลปะ โดยจำเลยกระทำเป็นปกติธุระ ได้รับผลประโยชน์ตอบแทน และไม่ได้รับใบอนุญาตตามกฎหมายและจำเลยขายยาลูกกลอนอันเป็นยาที่มิได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาไว้กับกระทรวงสาธารณสุขให้แก่บุคคลทั่วไป โดยจำเลยไม่ได้รับการยกเว้นแต่อย่างใดเจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมยาลูกกลอนและเงินที่จำเลยได้มาจากผู้ป่วยที่มารักษา ส่วนการที่จำเลยจะกระทำเป็นปกติธุระอย่างไร มีประชาชนหลงเชื่อเข้าไปให้จำเลยทำการรักษาพยาบาลกี่ราย จำเลยได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากผู้ใดบ้าง กี่ครั้ง และจำเลยขายยาลูกกลอนให้แก่ผู้ใดบ้างนั้น เป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณาประกอบกับการดำเนินคดีในศาลแขวงต้องการความรวดเร็ว จึงเปิดโอกาสให้โจทก์ฟ้องด้วยวาจาได้ โจทก์หาจำต้องบรรยายฟ้องโดยละเอียดดังเช่นคดีอาญาทั่วไปไม่ และเมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องก็ย่อมแสดงว่าจำเลยเข้าใจข้อหาในฟ้องได้ดีแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรม เห็นว่า การที่จำเลยประกอบกิจการสถานพยาบาลเพื่อประกอบโรคศิลปะ และจำเลยขายยาลูกกลอนด้วยนั้น จำเลยกระทำด้วยเจตนาที่ต่างกัน การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยสองกรรมนั้น ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละ 2 เดือน เมื่อลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกกระทงละ 1 เดือน รวมสองกระทง จำคุก 2 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5