แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชนฯ มาตรา 46 ป้ายของโรงเรียนเอกชนหมายถึงป้ายแสดงชื่อโรงเรียนที่เป็นอักษรไทยเท่านั้น เมื่อป้ายพิพาทมิใช่ป้ายแสดงชื่อโรงเรียนที่เป็นอักษรไทย จึงมิใช่ป้ายโรงเรียนเอกชนที่จะได้รับยกเว้นภาษีป้ายตามพระราชบัญญัติภาษีป้ายฯ มาตรา 8(9) จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของป้ายมีหน้าที่ต้องเสียภาษีป้ายตามมาตรา 7 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติภาษีป้ายฯ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลโดยเป็นเทศบาลมีหน้าที่ในการจัดเก็บภาษีป้าย จำเลยได้ตั้งโรงเรียนเอกชนชื่อโรงเรียนศูนย์อบรมคอมพิวเตอร์ธุรกิจร้อยเอ็ดและเป็นเจ้าของผู้ครอบครองป้าย พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ประเมินภาษีป้ายและเงินเพิ่มตามมาตรา 25(1) เนื่องจากจำเลยมิได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้ายสำหรับปี 2540 ค่าภาษีจำนวน 4,560 บาท เงินเพิ่มจำนวน 456 บาท รวมจำนวน 5,016 บาทปี 2541 ถึง 2543 ค่าภาษีปีละ 6,080 บาท เงินเพิ่มปีละ 608 บาท รวมทั้งสี่ปีเป็นเงิน25,080 บาท จำเลยทราบการประเมินแล้วมิได้อุทธรณ์โต้แย้ง กับมิได้ชำระเงินค่าภาษีดังกล่าวแก่โจทก์ จึงต้องรับผิดในเงินเพิ่มอีกอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนคิดเป็นหนึ่งเดือน นับแต่วันที่พ้นกำหนดในใบแจ้งประเมินของค่าภาษีป้ายนั้นจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำนวณถึงวันฟ้องเป็นเงินค่าภาษีและเงินเพิ่มรวมทั้งสิ้นจำนวน 34,960.30 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 34,960.30 บาทแก่โจทก์ ให้จำเลยรับผิดในเงินเพิ่มอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือน หรือเศษของเดือนคิดเป็นหนึ่งเดือนในหนี้ค่าภาษีจำนวน 22,800 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า การคำนวณค่าภาษีป้ายพิพาทตามฟ้องจึงไม่ถูกต้อง จำเลยไม่เคยได้รับทราบการประเมิน โจทก์จึงคิดเงินเพิ่มตามมาตรา 25(3) ไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยเป็นเจ้าของโรงเรียนศูนย์อบรมคอมพิวเตอร์ธุรกิจร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2525 ป้ายพิพาทเป็นของโรงเรียนดังกล่าวติดอยู่ที่บริเวณด้านหน้าของโรงเรียน พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ประเมินภาษีป้ายกับเงินเพิ่ม เนื่องจากจำเลยมิได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้ายสำหรับปี 2540 จำนวน 5,016 บาท สำหรับปี 2541 ถึง 2543ปีละ 6,688 บาท รวมทั้งสี่ปีเป็นเงิน 25,080 บาท ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่า จำเลยต้องเสียภาษีป้ายสำหรับป้ายพิพาทหรือไม่ เห็นว่า มาตรา 8(9)แห่งพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. 2510 บัญญัติยกเว้นภาษีป้ายสำหรับป้ายของโรงเรียนเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน ดังนั้น การที่จะพิจารณาว่าป้ายใดจะถือเป็นป้ายของโรงเรียนเอกชนหรือไม่ จึงต้องพิจารณาตามที่กฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนคือพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2525 กำหนดไว้ ซึ่งมาตรา 46แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติว่า “ให้ผู้รับใบอนุญาตจัดให้มีป้ายแสดงชื่อโรงเรียนเป็นอักษรไทยขนาดใหญ่พอเห็นได้ในระยะอันสมควรติดไว้ที่โรงเรียนหรือบริเวณโรงเรียนณ ที่ซึ่งเห็นได้ง่าย” ดังนั้น ป้ายของโรงเรียนเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนจึงหมายความถึงป้ายแสดงชื่อโรงเรียนที่เป็นอักษรไทยตามบทบังคับของมาตรา 46เท่านั้น ป้ายพิพาทมิใช่ป้ายแสดงชื่อโรงเรียนที่เป็นอักษรไทยตามบทกฎหมายดังกล่าวจึงมิใช่ป้ายของโรงเรียนเอกชนตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 8(9) แห่งพระราชบัญญัติภาษีป้าย จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของป้ายมีหน้าที่ต้องเสียภาษีป้ายตามมาตรา 7 วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติภาษีป้าย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น คดียังมีประเด็นข้อพิพาทอื่นที่ศาลภาษีอากรกลางยังมิได้วินิจฉัยและคดีนี้ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง สมควรให้มีการวินิจฉัยตามลำดับชั้นศาล”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง ให้ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่ยังมิได้วินิจฉัยแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้ศาลภาษีอากรกลางรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่