คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3850/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยใช้มือผลักและใช้ตัวดันเจ้าพนักงานตำรวจเพื่อแย่งถุงพลาสติกที่มีเมทแอมเฟตามีนบรรจุอยู่จากมือเจ้าพนักงานตำรวจไปใส่ปากเคี้ยวเพื่อทำลายหลักฐานนั้น ถือได้ว่าเป็นการขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานตำรวจผู้มีหน้าที่และกำลังตรวจค้นเพื่อรวบรวมสิ่งของที่จะใช้เป็นพยานหลักฐานว่าจำเลยได้กระทำผิดตามที่มีการกล่าวหาหรือที่เจ้าพนักงานตำรวจได้สืบทราบมาหรือไม่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ส่วนการกระทำของจำเลยที่ใช้มือผลักเจ้าพนักงานตำรวจกระเด็นไปติดประตูแล้วใช้ตัวดันเพื่อแย่งถุงพลาสติกที่มีเมทแอมเฟตามีนบรรจุมาใส่ปากเพื่อเคี้ยวทำลายหลักฐานนั้น จำเลยย่อมเล็งเห็นผลของการผลักและดันของจำเลยว่าเป็นการทำอันตรายต่อร่างกายหรือจิตใจของเจ้าพนักงานตำรวจได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายตามกฎหมายแล้ว แม้จำเลยจะมิได้มีเจตนาโดยประสงค์ต่อผลในการที่จะกระทำต่อร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งของเจ้าพนักงานตำรวจก็ตาม การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2540 เวลากลางวัน พันตำรวจตรีกิตติ มหารักษิต กับพวก เข้าทำการจับกุมจำเลยในข้อหาจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยต่อสู้ขัดขวางโดยใช้กำลังกายผลักพันตำรวจตรีกิตติจนติดฝาผนังแล้วกอดปล้ำแย่งเอาถุงพลาสติกบรรจุเมทแอมเฟตามีนจากมือพันตำรวจตรีกิตติไปเคี้ยวเพื่อทำลายหลักฐาน อันเป็นการต่อสู้ขัดขวางการจับกุมของเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ เหตุเกิดที่ตำบลบางแค อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม จำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1044/2540 ของศาลชั้นต้น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 นับโทษในคดีนี้ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 144/2540 ของศาลชั้นต้น

จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง ให้ลงโทษจำคุก 5 เดือนคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในห้า คงจำคุก 4 เดือน ให้นับโทษจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1044/2540 หมายเลขแดงที่ 621/2541 ของศาลชั้นต้น

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยที่ใช้มือผลักพันตำรวจตรีกิตติกระเด็นไปติดประตูแล้วใช้ตัวดันเพื่อแย่งถุงพลาสติกที่มีเมทแอมเฟตามีนบรรจุอยู่จากมือพันตำรวจตรีกิตติไปใส่ปากเคี้ยวเพื่อทำลายหลักฐานนั้นไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง เพราะการกระทำดังกล่าวของจำเลยมีเจตนาเพียงเพื่อแย่งถุงเมทแอมเฟตามีนจากมือของพันตำรวจตรีกิตติ มิได้มีเจตนากระทำต่อตัวหรือร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งของพันตำรวจตรีกิตติ การกระทำดังกล่าวของจำเลยถึงแม้จะเป็นเหตุให้ถูกเนื้อต้องตัวของพันตำรวจตรีกิตติ แต่จำเลยก็หาได้มีเจตนาจะทำร้ายหรือขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของพันตำรวจตรีกิตติไม่นั้น เห็นว่า ตามฎีกาของจำเลย จำเลยรับข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้ใช้มือผลักพันตำรวจตรีกิตติกระเด็นไปติดประตูแล้วใช้ตัวดันเพื่อแย่งถุงพลาสติกที่มีเมทแอมเฟตามีนบรรจุอยู่จากมือของพันตำรวจตรีกิตติไปใส่ปากเคี้ยวเพื่อทำลายหลักฐาน ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามที่จำเลยยอมรับนั้น และคดีได้ความจากพันตำรวจตรีกิตติกับสิบตำรวจเอกประสงค์ ใจชื้น พยานโจทก์ทั้งสองว่าก่อนทำการจับกุมจำเลย พยานโจทก์ทั้งสองสืบทราบว่าจำเลยมีพฤติการณ์จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนที่บ้านเลขที่ 28/3 หมู่ที่ 7 ตำบลบางแค อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งเป็นบ้านของจำเลยจึงร่วมกันวางแผนจับจำเลย โดยให้สายลับไปล่อซื้อ พร้อมกับนำหมายค้นไปด้วย เมื่อถึงไปถึงบ้านจำเลยพบภรรยาจำเลย พยานโจทก์ทั้งสองจึงแสดงตัวและหมายค้นให้ดู ขณะนั้นจำเลยอยู่ภายในบ้าน เมื่อจำเลยเห็นพยานโจทก์ทั้งสอง จำเลยได้วิ่งหนีเข้าไปในห้อง ดังนี้ แสดงว่าขณะที่มีการแสดงหมายค้นและต่อมาเมื่อมีการแย่งถุงบรรจุเมทแอมเฟตามีนจากพันตำรวจตรีกิตตินั้น จำเลยทราบดีแล้วว่าพันตำรวจตรีกิตติกับพวกเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมาขอตรวจค้นบ้านของจำเลยตามหมายค้นเพื่อค้นหาสิ่งของผิดกฎหมาย ในพฤติการณ์ดังกล่าวเมื่อจำเลยทราบว่าพันตำรวจตรีกิตติกับพวกเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมาขอตรวจค้นบ้านและบุคคลตลอดจนสิ่งของภายในบ้านของจำเลย ไม่ว่าจำเลยจะได้กระทำผิดกฎหมายหรือไม่ก็ตาม จำเลยก็น่าที่จะยินยอมให้พันตำรวจตรีกิตติตรวจค้นเสียแต่โดยดี การที่จำเลยใช้มือผลักและใช้ตัวดันพันตำรวจตรีกิตติเพื่อแย่งถุงพลาสติกที่มีเมทแอมเฟตามีนบรรจุอยู่จากมือพันตำรวจตรีกิตติไปใส่ปากเคี้ยวเพื่อทำลายหลักฐานนั้นถือได้ว่าเป็นการขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานตำรวจผู้มีหน้าที่และกำลังตรวจค้นเพื่อรวบรวมสิ่งของที่จะใช้เป็นพยานหลักฐานว่าจำเลยได้กระทำผิดตามที่มีการกล่าวหาหรือที่เจ้าพนักงานตำรวจได้สืบทราบมาหรือไม่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ส่วนการกระทำของจำเลยจะเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายหรือไม่นั้น เห็นว่า มาตรา 1(6) แห่งประมวลกฎหมายอาญาได้ให้คำนิยามของการ “ใช้กำลังประทุษร้าย” ว่าหมายความว่า ทำการประทุษร้ายแก่กายหรือจิตใจของบุคคล ไม่ว่าจะทำด้วยใช้แรงกายภาพหรือด้วยวิธีอื่นใด ฯลฯ ฉะนั้น การที่จำเลยใช้มือผลักพันตำรวจตรีกิตติกระเด็นไปติดประตูแล้วใช้ตัวดันเพื่อแย่งถุงพลาสติกที่มีเมทแอมเฟตามีนบรรจุมาใส่ปากเพื่อเคี้ยวทำลายหลักฐานนั้นจำเลยย่อมเล็งเห็นผลของการผลักและดันของจำเลยว่าเป็นการทำอันตรายต่อร่างกายหรือจิตใจของพันตำรวจตรีกิตติได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายตามกฎหมายแล้ว แม้จำเลยจะมิได้มีเจตนาโดยประสงค์ต่อผลในการที่จะกระทำต่อร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งของพันตำรวจตรีกิตติก็ตาม ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง จึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลยมีว่า ควรลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษให้แก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำคุกจำเลยมาเพียง 4 เดือน นั้น นับว่าเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว และปรากฏว่าคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1044/2540 หมายเลขแดงที่ 621/2541 ของศาลชั้นต้นถึงที่สุดแล้ว โดยศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 7 ให้ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 6 ปี 8 เดือน อันเป็นกรณีที่จำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อนซึ่งมิใช่โทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ จึงไม่อาจรอการลงโทษจำเลยในคดีนี้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาลงโทษโดยไม่รอการลงโทษนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share