คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1288/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้ พระราชบัญญัติ การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 จะบัญญัติให้คณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจังหวัดประกอบด้วยข้าราชการผู้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ เป็นกรรมการ โดยมิได้ระบุคำว่าหรือ “ผู้แทน” ไว้ก็ตาม แต่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 218 เรื่องระเบียบบริหารราชการแผ่นดินบัญญัติให้ข้าราชการผู้ดำรงตำแหน่งมอบหมายหรือมอบอำนาจให้ผู้ดำรงตำแหน่งอื่นปฏิบัติราชการแทนได้ข้าราชการผู้ดำรงตำแหน่งซึ่งเป็นกรรมการในคณะกรรมการดังกล่าวจึงมอบหมายให้ข้าราชการผู้ดำรงตำแหน่งอื่นประชุมแทนได้และถือว่าการประชุมคณะกรรมการชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเช่าที่ดินจากนายสายัณห์ รัศมีเพื่อทำนา ต่อมานายสายัณห์ขายที่นาดังกล่าวให้นายสัมฤทธิ์คุ้มทรัพย์ ในราคา 100,000 บาท คณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดชลบุรีได้มีคำวินิจฉัยให้ผู้ร้องซื้อที่นาพิพาทตามราคาตลาดเป็นเงิน 104,000 บาท ผู้ร้องแจ้งนายสัมฤทธิ์ให้ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยอันถึงที่สุดแล้ว แต่นายสัมฤทธิ์เพิกเฉย ขอบังคับให้นายสัมฤทธิ์โอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 3488 ตำบลบางหัก อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรีเนื้อที่ 25 ไร่ 3 งาน 88 ตารางวา ในราคา 104,000 บาท พร้อมทั้งส่งมอบโฉนดดังกล่าวให้ผู้ร้องและรับเงินจำนวนดังกล่าวไปหากไม่ปฏิบัติตามให้ถือคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาและให้นายสัมฤทธิ์ออกค่าธรรมเนียมการทำนิติกรรมรวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ด้วย
นายสัมฤทธิ์ คุ้มทรัพย์ ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านซื้อที่นาพิพาทมาจากนายสายัณห์ รัศมี ด้วยความสุจริต ในราคา300,000 บาท และมีการแจ้งการขายถึงผู้ร้องแล้ว การประชุมของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดชลบุรีครั้งที่ 2/2530 เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2530 ไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากมีผู้ซึ่งไม่ได้เป็นคณะกรรมการตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 7(2) เข้าไปเป็นประธานการประชุมและเข้าร่วมประชุม ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ร้องซื้อที่นาพิพาทคืนจากผู้คัดค้านในราคา 300,000 บาท ซึ่งเป็นราคาตลาดในขณะนั้น ภายในกำหนด 30 วันนับแต่วันที่ทราบคำพิพากษาหรือคำสั่ง มิฉะนั้นถือว่าผู้ร้องสละสิทธิที่จะซื้อที่นาพิพาทคืน โดยให้ผู้ร้องเป็นผู้ออกค่าธรรมเนียม ค่าอากรในการโอนรวมทั้งค่าภาษีต่าง ๆ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ผู้คัดค้านทำนิติกรรมโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 3488 ตำบลบางหัก อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรีเนื้อที่ 25 ไร่ 3 งาน 88 ตารางวา ในราคา 104,000 บาท แก่ผู้ร้อง หากไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทน ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการทำนิติกรรมโอนขาย ให้ออกชำระคนละกึ่งหนึ่ง
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังยุติว่านายสายัณห์ รัศมี เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่นาพิพาทให้ผู้ร้องเช่าทำนา มีกำหนดระยะเวลา 12 ปี ในระหว่างสัญญาเช่ายังมีผลบังคับนายสายัณห์ขายที่นาพิพาทให้ผู้คัดค้านโดยไม่ได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ร้องทราบตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 มาตรา 53 นายสายัณห์จดทะเบียนโอนขายให้ผู้คัดค้านไปในราคา 100,000 บาท แต่ผู้คัดค้านจะขายที่นาพิพาทให้ผู้ร้องในราคา 300,000 บาท คณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลบางหัก มีคำวินิจฉัยและมีมติให้ผู้คัดค้านขายที่นาพิพาทแก่ผู้ร้องในราคา 100,000 บาท ผู้คัดค้านอุทธรณ์คำวินิจฉัยและมติดังกล่าว คณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดชลบุรีโดยมี นายอุทัย มั่นถาวร รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีแทนผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เป็นประธาน นายสาโรจน์สลิลศิริ นางฐานะ แก้วเกษม และนายปราโมทย์ นพศิริแทนที่ดินจังหวัดชลบุรี เกษตรจังหวัดชลบุรี และอัยการจังหวัดชลบุรีตามลำดับพร้อมกรรมการอื่นอีก 9 นาย มีคำวินิจฉัยและมีมติให้ผู้คัดค้านขายที่นาพิพาทให้ผู้ร้องในราคา 104,000 บาท
พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่จะวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านมีว่าการประชุมคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดชลบุรี ครั้งที่ 2/2530 เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2530 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ในข้อนี้ผู้คัดค้านฎีกาว่าตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 7(2) ระบุแจ้งชัดว่า บุคคลใดบ้างที่เป็นคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โดยมิได้มีข้อความให้อำนาจบุคคลอื่นทำการแทนได้ดังมาตรา 9 ทั้งนี้เพราะกฎหมายประสงค์ให้บุคคลผู้ทรงคุณวุฒิตามที่กฎหมายกำหนดไว้เท่านั้นเป็นกรรมการเข้าร่วมประชุมวินิจฉัยอุทธรณ์ การที่นายอุทัย มั่นถาวร นายสาโรจน์ สลิลศิริ นางฐานะ แก้วเกษมและนายปราโมทย์ นพศิริ ซึ่งมิใช่คณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเข้าประชุมวินิจฉัยและลงมติร่วมกับคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมคนอื่น จึงเป็นการประชุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีผลให้ผู้คัดค้านต้องปฏิบัติตาม พิเคราะห์แล้วพระราชบัญญัติ การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 7บัญญัติว่า “ในจังหวัดหนึ่ง ๆ ให้มี คชก. จังหวัด ซึ่งประกอบด้วยบุคคลดังต่อไปนี้ (1) …ฯลฯ (2) ในจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานคร คชก. จังหวัดประกอบด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน อัยการจังหวัด เกษตรจังหวัด ประมงจังหวัด ปศุสัตว์จังหวัดและเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด ผู้แทนผู้เช่าประจำจังหวัดสี่คน และผู้แทนผู้ให้เช่าประจำจังหวัดสี่คน ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งเป็นกรรมการ…ฯลฯ” และประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 218เรื่องระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ในส่วนของการจัดระเบียบบริหารราชการส่วนกลาง ข้อ 44 วรรคสอง บัญญัติว่า “ในกรณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งใดหรือผู้รักษาราชการแทนผู้ดำรงตำแหน่งนั้นมอบหมายหรือมอบอำนาจให้ผู้ดำรงตำแหน่งอื่นปฏิบัติราชการแทน ให้ผู้ปฏิบัติราชการแทนมีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับผู้ซึ่งมอบหมายหรือมอบอำนาจ”และวรรคสามบัญญัติว่า “ในกรณีที่มีกฎหมายอื่นแต่งตั้งให้ผู้ดำรงตำแหน่งใดเป็นกรรมการหรือให้มีอำนาจหน้าที่อย่างใด ให้ผู้รักษาราชการแทนหรือผู้ปฏิบัติราชการแทนทำหน้าที่กรรมการ หรือมีอำนาจและหน้าที่เช่นเดียวกับผู้ดำรงตำแหน่งนั้นในระหว่างที่รักษาราชการแทน หรือปฏิบัติราชการแทนด้วย แล้วแต่กรณี” ซึ่งข้อ 54 ให้นำความในข้อ 44 มาใช้แก่ผู้รักษาราชการแทน และผู้ทำการแทน ในส่วนของการจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค หมวดจังหวัดด้วย เห็นว่าตามบทบัญญัติของกฎหมาย 2 ฉบับดังกล่าวแม้พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 7 จะระบุว่าบุคคลใดเป็นกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อการเกษตรไว้ โดยมิได้ระบุคำว่า หรือ”ผู้แทน” ไว้ดังเช่นมาตรา 9 ก็ตาม แต่ก็ถือได้ว่าเป็นการระบุตำแหน่งของผู้ที่จะเป็นประธานและกรรมการไว้ กรณีจึงต้องนำประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 218 เรื่องระเบียบบริหารราชการแผ่นดินข้อ 44 วรรคสอง วรรคสาม และข้อ 54 ดังกล่าวมาใช้บังคับได้ซึ่งตามรายงานการประชุมครั้งที่ 2/2530 เอกสารหมาย ร.4 ระบุว่านายอุทัย มั่นถาวร รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีแทนผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี นายสาโรจน์ สลิลศิริ เจ้าพนักงานที่ดิน 4แทนที่ดินจังหวัดชลบุรี นางฐานะ แก้วเกษม เจ้าหน้าที่บริหารงานการเกษตร 6 แทนเกษตรจังหวัดชลบุรี นายปราโมทย์ นพศิริรองอัยการจังหวัดชลบุรี แทนอัยการจังหวัดชลบุรีจึงเป็นการแสดงว่ากรรมการผู้ดำรงตำแหน่งนั้น ๆ ได้มอบอำนาจให้บุคคลดังกล่าวมาประชุมแทนอันถือได้ว่าเป็นการทำการแทนนั่นเอง ผู้ที่ทำการแทนจึงมีอำนาจและหน้าที่เช่นเดียวกับตัวผู้ดำรงตำแหน่งนั้นในระหว่างที่ทำการแทน ฉะนั้นการประชุมคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดชลบุรีครั้งที่ 2/2530 เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2530จึงชอบด้วยกฎหมาย”
พิพากษายืน

Share