แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 103 กำหนดให้นายจ้างจ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทน โดยให้อำนาจอธิบดีกรมแรงงานออกคำสั่งเป็นหนังสือให้ยึดอายัด และขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ไม่จ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนและหรือเงินเพิ่มได้เองโดยไม่ต้องฟ้องร้องต่อศาล ถือได้ว่าเป็นสิทธิอื่น ๆ ซึ่งบุคคลภายนอกอาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 กรมแรงงานจึงมีสิทธิขอเข้าเฉลี่ยหนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 ได้ แม้จะมิได้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและไม่ใช่หนี้ค่าภาษีอากรก็ตาม
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ ระหว่างประกาศขายทอดตลาดผู้ร้องขอเฉลี่ยหนี้
ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๐๓ ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๑๕ เป็นกฎหมายพิเศษ เพื่อให้ความคุ้มครองแรงงานแก่ลูกจ้างและกำหนดให้นายจ้างจ่ายเงินสมทบลงทุนเงินทดแทนตามอัตราที่ทางการกำหนด และตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับนี้ ข้อ ๑๐ ให้อำนาจอธิบดีกรมแรงงานมีอำนาจออกคำสั่งเป็นหนังสือให้ยึด อายัด และขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ไม่จ่ายเงินสมทบและหรือเงินเพิ่มได้เองโดยไม่จำต้องนำคดีขึ้นฟ้องร้องศาล ถือได้ว่าเป็นสิทธิอื่น ๆ ซึ่งบุคคลภายนอกอาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นได้ตามกฎหมายซึ่งบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งไม่กระทบกระทั่งถึงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๗ กรมแรงงานจึงมีสิทธิขอเข้าเฉลี่ยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๙๐ ได้ แม้จะมิได้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและไม่ใช่หนี้ค่าภาษีอากรก็ตาม ส่วนที่ศาลอุทธรณ์พิจารณายกคำร้องโดยอ้างเหตุว่าในคำร้องขอเฉลี่ยหนี้ของผู้ร้องไม่ปรากฏว่าผู้ร้องไม่สามารถเอาชำระหนี้ได้จากทรัพย์สินอื่น ๆ ของจำเลยที่ ๑ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าในคำร้องข้อที่ ๔ ก็ได้ระบุว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ ทั้งหมดเพื่อขายทอดตลาด ซึ่งข้อความดังกล่าวน่าจะมีความหมายว่าผู้ร้องไม่สามารถเอาชำระหนี้ได้จากทรัพย์สินอื่น ๆ ของจำเลยที่ ๑ สมควรรับคำร้องของผู้ร้องไว้ทำการไต่สวนต่อไป
พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นรับคำร้องและไต่สวนให้ได้ความตามนัยที่ศาลฎีกาวินิจฉัยมาแล้วข้างต้น และมีคำสั่งใหม่