คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 385/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

พวกผู้เสียหายเข้าชกต่อยทำร้ายจำเลยที่ 2 ก่อน จำเลยที่ 1 จะเข้าช่วย จำเลยที่ 2 จึงถูกผู้เสียหายที่ 2 ที่ 3 รัดคอและรัดเอวไว้จนหายใจไม่ออก จึงใช้มีดตัดหญ้าที่ติดตัวมากวัดแกว่ง ไปทั้งด้านหน้าและด้านหลัง มีดถูกผู้เสียหายที่ 2 ที่ 3 ล้มลง จำเลยที่ 1 กระทำดังกล่าวก็เพื่อให้คนที่รัดคอและรัดเอวปล่อย โดยไม่มีโอกาสที่จะทำให้พ้นภยันตรายโดยวิธีอื่น หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 คงยืนถือมีดอยู่เฉย ๆ ไม่ได้เข้าไปแทงซ้ำ การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 1จึงถือได้ว่าเป็นการป้องกันตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้าย อันละเมิดต่อกฎหมายพอสมควรแก่เหตุตามพฤติการณ์ที่ประสบอยู่ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายไม่มีความผิด.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันใช้กำลังชกต่อยทำร้ายนายสำราญ ศรีคงคต ผู้เสียหายที่ 1 และได้ร่วมกันใช้มีดพกสั้นยาวประมาณ 1 คืน แทงประทุษร้ายร่างกายนายสุริยา ศรีโพธิ์อ่อนผู้เสียหายที่ 2 จำนวน 2 ที และแทงประทุษร้ายร่างกายนายสุรีย์ศรีคงคต ผู้เสียหายที่ 3 จำนวน 1 ที โดยเจตนาฆ่าผู้เสียหายที่ 2ที่ 3 แต่ผู้เสียหายที่ 2 ที่ 3 ไม่ถึงแก่ความตาย เพียงแต่ได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่การถึงสาหัส เหตุเกิดที่ตำบลนราภิรมย์อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80, 391, 83, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 ให้จำคุกคนละ 10 ปี จำเลยที่ 2มีความผิดตามมาตรา 391 อีกกระทงหนึ่ง ให้จำคุก 1 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 10 ปี 1 เดือน คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…คดีจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้เข้าไปชกต่อยผู้เสียหายที่ 1 ก่อน พฤติการณ์แห่งคดีน่าเชื่อตามที่จำเลยทั้งสองนำสืบว่า พวกผู้เสียหายได้เข้ามาชกต่อยทำร้ายจำเลยที่ 2ก่อน เมื่อจำเลยที่ 1 จะเข้าไปช่วยก็ถูกผู้เสียหายที่ 2 ที่ 3รัดคอและรัดเอวไว้ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกับฝ่ายผู้เสียหายสมัครใจวิวาททำร้ายซึ่งกันและกัน และข้อเท็จจริงในตอนนี้นั้นได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ตอบคำถามค้านของทนายจำเลยทั้งสองว่า ผู้เสียหายที่ 2 รัดคอ ผู้เสียหายที่ 3 รัดเอวจำเลยที่ 1ไว้ จำเลยที่ 1 ดิ้นแต่ไม่หลุด จำเลยที่ 1 เอามีดมาจากไหนไม่ทราบแทงถูกผู้เสียหายที่ 2 ที่ 3 ขณะที่จำเลยที่ 1 ถูกรัดคอและรัดเอวอยู่ ซึ่งจำเลยที่ 1 เบิกความในตอนนี้ว่า เมื่อถูกรัดคอและรัดเอวนั้น จำเลยที่ 1 ดิ้นแต่ไม่หลุดและหายใจไม่ออกจึงล้วงมีดตัดหญ้าออกจากกระเป๋าเสื้อแกว่งไปทั้งด้านหน้าและด้านหลังมีดถูกคนที่รัดคอและรัดเอว และข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของพยานโจทก์ว่า เมื่อผู้เสียหายที่ 2 ที่ 3 ถูกแทงล้มลงไปแล้วนั้นจำเลยที่ 1 คงยืนถือมีดอยู่เฉย ๆ มิได้เข้าไปแทงซ้ำเช่นนี้ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 จะเข้าช่วยจำเลยที่ 2 และถูกผู้เสียหายที่ 2 และที่ 3 รัดคอและรัดเอวไว้จนหายใจไม่ออก จึงได้ใช้มีดตัดหญ้าที่ติดตัวมากวัดแกว่งไปเพื่อให้คนที่รัดคอและรัดเอวตนไว้ปล่อยโดยไม่มีโอกาสที่จะทำให้พ้นภยันตรายที่กำลังได้รับอยู่โดยวิธีอื่นและเมื่อจำเลยที่ 1 ถูกปล่อยเป็นอิสระก็ไม่ได้กระทำการใดต่อไปที่จะเป็นการทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 ที่ 3 เป็นการซ้ำเติม การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 1 จึงถือได้ว่าเป็นการป้องกันตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายพอสมควรแก่เหตุตามพฤติการณ์ที่ประสบอยู่ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีความผิด ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share