แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๔ ระหว่างพิจารณา จำเลยและโจทก์ร่วมแถลงต่อศาลชั้นต้นว่าคดีตกลงกันได้ โดยจำเลยจะชำระเงินตามเช็คพิพาท โดยชำระงวดแรกจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท งวดต่อไปทุกวันที่ ๒๐ ของเดือนถัดไป โดยชำระไม่ต่ำกว่างวดละ ๕๐,๐๐๐ บาท และต้องชำระหนี้ทั้งหมดภายใน ๑ ปี ๖ เดือน นับแต่วันชำระงวดแรก โดยจำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพตามรายงานกระบวนพิจารณาเป็นหลักฐานแสดงว่าจำเลยยอมรับผิดตามฟ้อง และคดีไม่จำต้องสืบพยานอีกต่อไป แต่จำเลยและโจทก์ร่วมตกลงให้ศาลเลื่อนการอ่านคำพิพากษาออกไปเพื่อให้โอกาสจำเลยมีเวลาหาเงินมาผ่อนชำระหนี้แก่โจทก์ร่วม โดยจำเลยยังคงรับผิดในหนี้ตามเช็คทุกฉบับ รวมตลอดถึงโทษทางอาญาที่ศาลชั้นต้นจะพิพากษาในวันนัดที่เลื่อนไป จึงไม่มีการตกลงระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์ร่วมและจำเลย ไม่มีการผ่อนผันลดจำนวนหนี้ลง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของมูลหนี้ ต่อมาโจทก์ร่วมไม่ยอมรับเช็คธนาคาร (แคชเชียร์เช็ค) ที่จำเลยนำมามอบให้ และขอให้จำเลยผ่อนชำระหนี้งวดละไม่น้อยกว่า ๑๕๐,๐๐๐ บาท จำเลยยืนยันจะชำระหนี้ตามที่แถลงไว้ โจทก์ร่วมขอให้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษา จำเลยถอนคำให้การรับสารภาพพร้อมกับให้การปฏิเสธขอสู้คดีต่อไป ซึ่งศาลชั้นต้นสืบพยานของทั้งสองฝ่ายจนจบสิ้นกระแสความ พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงเจตนาของโจทก์ร่วมและจำเลยว่าไม่ประสงค์ให้รายงานกระบวนพิจารณามีผลผูกพันให้โจทก์ร่วมและจำเลยต้องปฏิบัติตามโดยฝ่ายใดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขเป็นอย่างอื่นไม่ได้ รายงานกระบวนพิจารณาจึงไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์จึงยังไม่ระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๓๙ (๒)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๔ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๙๑
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา บริษัท เค. เอ็ม. พลาส แพค จำกัด ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๔ (๑) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ และ ๙๑ ให้เรียงกระทงลงโทษปรับจำเลยที่ ๑ กระทงละ ๑๕,๐๐๐ บาท และจำคุกจำเลยที่ ๒ กระทงละ ๓ เดือน รวม ๘ กระทง เป็นโทษปรับจำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๑๒๐,๐๐๐ บาท และจำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๒๔ เดือน ยกฟ้องโจทก์เฉพาะความผิดเกี่ยวกับเช็คฉบับลงวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๓๘ จำนวนเงิน ๗๓,๙๑๔.๒๕ บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลยที่ ๑ กระทงละ ๑๐,๐๐๐ บาท และจำคุกจำเลยที่ ๒ กระทงละ ๒ เดือน รวม ๘ กระทง เป็นโทษปรับจำเลยที่ ๑ รวม ๘๐,๐๐๐ บาท และจำคุกจำเลยที่ ๒ รวม ๑๖ เดือน ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๒ ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันออกเช็ค เอกสารหมาย จ. ๓ จ. ๖ จ. ๙ จ. ๑๕ จ. ๑๙ จ. ๒๒ จ. ๒๙ และ จ. ๓๓ รวม ๘ ฉบับ ชำระหนี้ค่าสินค้าพลาสติกพีวีซี ที่ซื้อจากโจทก์ร่วม เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระเงินโจทก์ร่วมนำเช็ค ๘ ฉบับ เข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์ร่วมเพื่อเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินทุกฉบับ เมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๓๙ จำเลยทั้งสองและโจทก์ร่วม (ขณะนั้นยังมิได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์) แถลงต่อศาลชั้นต้นว่า คดีตกลงกันได้โดยจำเลยทั้งสองจะชำระเงินตามเช็ค จำนวน ๑,๖๗๔,๐๒๔ บาท โดยชำระงวดแรกจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ในวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๓๙ งวดต่อไปทุกวันที่ ๒๐ ของเดือนถัดไป โดยชำระไม่ต่ำกว่างวดละ ๕๐,๐๐๐ บาท และต้องชำระหนี้ทั้งหมดภายใน ๑ ปี ๖ เดือน นับแต่วันชำระงวดแรก วันดังกล่าวจำเลยทั้งสองขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ โจทก์ร่วมและจำเลยทั้งสองขอให้ศาลชั้นต้นเลื่อนการพิพากษาคดีไปก่อนปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๓๙ แล้ววินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้วข้อความในรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวเป็นหลักฐานแสดงว่าจำเลยทั้งสองยอมรับผิดตามฟ้อง และคดีไม่จำต้องสืบพยานอีกต่อไป ซึ่งศาลชั้นต้นอาจพิพากษาคดีให้เสร็จสิ้นไปในวันนั้นเสียได้ แต่จำเลยทั้งสองขอให้ศาลชั้นต้นเลื่อนการอ่านคำพิพากษาออกไปก่อน โดยอ้างเหตุผลว่า จำเลยทั้งสองจะผ่อนชำระหนี้ตามเช็คทั้งหมดแก่โจทก์ร่วมเป็นงวด งวดละเดือน ซึ่งโจทก์ร่วมยอมรับเงื่อนไขการผ่อนชำระหนี้ของจำเลยทั้งสองดังกล่าว จึงร่วมแถลงขอเลื่อนการอ่านคำพิพากษาด้วย เช่นนี้ กรณีเป็นการตกลงให้ศาลเลื่อนการอ่านคำพิพากษาออกไปเพื่อให้โอกาสจำเลยทั้งสองมีเวลาหาเงินมาผ่อนชำระหนี้แก่โจทก์ร่วม โดยจำเลยทั้งสองยังคงรับผิดในหนี้ตามเช็คทุกฉบับ รวมตลอดถึงโทษทางอาญาที่ศาลชั้นต้นจะพิพากษาในวันนัดที่เลื่อนไป จึงไม่มีการตกลงระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์ร่วมและจำเลยทั้งสอง ไม่มีการผ่อนผันลดจำนวนหนี้ลง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของมูลหนี้ ต่อมาโจทก์ร่วมไม่ยอมรับเช็คธนาคาร (แคชเชียร์เช็ค) ที่จำเลยทั้งสองนำมามอบให้ และขอให้จำเลยทั้งสองผ่อนชำระหนี้งวดละไม่น้อยกว่า ๑๕๐,๐๐๐ บาท จำเลยทั้งสองยืนยันจะชำระหนี้ตามที่แถลงไว้ โจทก์ร่วมขอให้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษา จำเลยทั้งสองถอนคำให้การรับสารภาพพร้อมกับให้การปฏิเสธขอสู้คดีต่อไป ดังที่ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๓๙ ซึ่งศาลชั้นต้นสืบพยานของทั้งสองฝ่ายจนจบสิ้นกระแสความ พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงเจตนาของโจทก์ร่วมและจำเลยทั้งสองว่าไม่ประสงค์ให้รายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๓๙ มีผลผูกพันให้โจทก์ร่วมและจำเลยทั้งสองต้องปฏิบัติตามโดยฝ่ายใดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขเป็นอย่างอื่นไม่ได้ รายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๓๙ จึงไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ยังไม่ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙ (๒) แต่ศาลฎีกาพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่าจำเลยทั้งสองมิได้มีเจตนาจะโกงโจทก์ร่วม กรณีมีเหตุที่จะลดโทษให้แก่จำเลยทั้งสองและรอการลงโทษให้แก่จำเลยที่ ๒
พิพากษาแก้เป็นว่า ลดโทษให้จำเลยทั้งสองหนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ แล้ว คงปรับจำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๖๐,๐๐๐ บาท และจำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๑๒ เดือน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ ๒ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.