คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3849/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่นาพิพาทที่จำเลยเช่าโดยอ้างว่าจำเลยปลูกบ้านอยู่อาศัยและทำเป็นร้านค้าอย่างถาวรอันเป็นการใช้ประโยชน์อย่างอื่นนอกจากการทำนา โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ การที่จะบอกเลิกการเช่านาตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา มาตรา 32(3) จะต้องปฏิบัติตาม มาตรา 35 กล่าวคือโจทก์ผู้ให้เช่านาต้องแจ้งเป็นหนังสือพร้อมทั้งแสดงเหตุแห่งการบอกเลิกไปยังจำเลยและส่งสำเนาหนังสือนั้นต่อประธานคณะกรรมการควบคุมการเช่านาประจำตำบลเพื่อพิจารณาก่อนว่ามีเหตุสมควรหรือไม่อย่างไร โดยให้ผู้เช่ามีโอกาสคัดค้านด้วย การที่คณะกรรมการควบคุมการเช่านาประจำตำบลและประจำจังหวัดมีคำวินิจฉัยและมีมติให้จำเลยออกจากที่นาพิพาท อันเป็นการวินิจฉัยในเหตุอื่นซึ่งเป็นเรื่องนอกเหนือจากคำฟ้องของโจทก์ไม่มีผลทำให้การบอกเลิกการเช่านาพิพาทของโจทก์เป็นไปโดยชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนางสาวสำเนียง จำเลยทั้งสองเช่าที่ดินมรดกทำนา โจทก์จะขายที่นาดังกล่าวจึงได้มีหนังสือบอกขายให้จำเลยทั้งสองและมีหนังสือข้อความอย่างเดียวกันถึงนายอำเภอคลองหลวง จำเลยทั้งสองไม่แสดงเจตนาจะซื้อเป็นอันหมดสิทธิที่จะซื้อที่นาดังกล่าวและหมดสิทธิที่จะเช่าที่นานี้ต่อไปทั้งจำเลยทั้งสองยังปลูกบ้านมีบริเวณ 2 ไร่เศษและทำเป็นร้านค้าอย่างถาวรเป็นการใช้ประโยชน์อย่างอื่นนอกจากการทำนาโดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ เป็นการผิดสัญญาเช่านาและผิดวัตถุประสงค์ตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยทั้งสองอาศัยปลูกบ้านและทำนาอีกต่อไปจึงบอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป จำเลยทั้งสองเพิกเฉยขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกไปจากที่นาของโจทก์

จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ฟ้องคดีโดยยังไม่ครบกำหนดอายุการเช่าแม้จำเลยไม่ซื้อที่นาจำเลยก็มีสิทธิเช่าที่นาแปลงนี้จากผู้ซื้อ จำเลยปลูกบ้านอยู่อาศัยโดยมีข้อตกลงและได้รับความยินยอมจากนางสาวสำเนียง จึงไม่เป็นการผิดสัญญาเช่านาและผิดวัตถุประสงค์ ตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา โจทก์มิได้บอกเลิกการเช่านาโดยอ้างว่าจำเลยทั้งสองปลูกบ้านอยู่อาศัยต่อคณะกรรมการควบคุมการเช่านา เป็นการไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่นาพิพาทโดยให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกไปด้วย

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสองเป็นผู้เช่าที่นาตามโฉนดเลขที่ 11เนื้อที่ 50 ไร่ ของนางสาวสำเนียงมาแต่เดิม โดยจำเลยทั้งสองได้ปลูกบ้านอยู่อาศัยและปลูกร้านค้าในที่นาแปลงนี้เป็นเนื้อที่ ประมาณ 2 ไร่เศษ โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนางสาวสำเนียงตามคำสั่งศาล โจทก์ได้ทำหนังสือแจ้งความประสงค์จะขายที่นาดังกล่าวเป็นเงิน 650,000 บาท กำหนดชำระเงินงวดเดียวในวันโอนกรรมสิทธิ์ ให้จำเลยทั้งสองทราบและได้มีหนังสือข้อความอย่างเดียวกันถึงนายอำเภอคลองหลวงด้วยจำเลยทั้งสองได้รับทราบแล้วไม่แสดงเจตนาจะซื้อที่นาดังกล่าว โจทก์มอบหมายให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกไปจำเลยทั้งสองได้รับทราบแล้วเพิกเฉย โจทก์จึงฟ้องเป็นคดีนี้ แล้ววินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าโจทก์บอกเลิกการเช่านาพิพาทชอบหรือไม่ว่า กรณีของโจทก์เป็นการบอกเลิกการเช่านาก่อนสิ้นกำหนดระยะเวลาการเช่าอันเนื่องมาจากจำเลยทั้งสองผู้เช่านาใช้ที่นาเพื่อการอื่นนอกจากการทำนา โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์หรือทำให้สภาพของนาเปลี่ยนแปลงหรือเป็นอุปสรรคต่อการปลูกข้าวหรือพืชไร่ ตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 32(3) ซึ่งการบอกเลิกจะต้องปฏิบัติตาม มาตรา 35 กล่าวคือ โจทก์ผู้ให้เช่านาต้องแจ้งเป็นหนังสือพร้อมทั้งแสดงเหตุ แห่งการบอกเลิกการเช่าไปยังจำเลยทั้งสอง และส่งสำเนาหนังสือนั้นต่อประธานคณะกรรมการควบคุมการเช่านาประจำตำบล เพื่อให้คณะกรรมการควบคุมการเช่านาได้พิจารณาก่อนว่ามีเหตุสมควรหรือไม่อย่างไร โดยให้ผู้เช่านาคือจำเลยทั้งสองมีโอกาสคัดค้านด้วย แต่โจทก์เพียงแต่มอบให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนบ้านออกไปจากที่นาพิพาทโดยโจทก์มิได้ส่งสำเนาหนังสือบอกกล่าวข้างต้นไปให้ประธานคณะกรรมการควบคุมการเช่านาประจำตำบลคลองห้า เพื่อดำเนินการวินิจฉัยในเรื่องนี้ตามวิธีการอันเป็นขั้นตอนดังกล่าวแต่อย่างใด คำวินิจฉัยของคณะกรรมการควบคุมการเช่านาประจำตำบลคลองห้าและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการควบคุมการเช่านาประจำจังหวัดปทุมธานี ก็เป็นการวินิจฉัยในเหตุอื่นซึ่งเป็นเรื่องนอกเหนือจากคำฟ้องของโจทก์ ไม่มีผลทำให้การบอกเลิกการเช่านาพิพาทของโจทก์ในคดีนี้เป็นไปโดยชอบ

พิพากษายืน

Share