คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3054/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ลูกหนี้ที่ 2 ทำหนังสือสัญญายินยอมให้ธนาคารผู้คัดค้านโอนเงินจากบัญชีเงินฝากประจำของลูกหนี้ที่ 2 มาชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีที่มีต่อผู้คัดค้าน โดยทำไว้ก่อน 3 เดือนที่มีการขอให้ลูกหนี้ที่ 2 ล้มละลาย แต่เมื่อผู้คัดค้านทำการโอนเงินฝากประจำดังกล่าวมาชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีโดยโอนในวันที่มีการขอให้ลูกหนี้ที่ 2 ล้มละลายซึ่งผลของสัญญายินยอมยังคงมีอยู่ ถือได้ว่าลูกหนี้ที่ 2 มีส่วนร่วมในการกระทำหรือยินยอมให้กระทำอยู่ด้วยโดยมุ่งหมายให้เจ้าหนี้อื่นเสียเปรียบ กรณีจึงต้องตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 115 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขอให้เพิกถอนได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ล้มละลายเมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๒๒ ต่อมาศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและพิพากษาให้ล้มละลาย และความปรากฏว่าจำเลยที่ ๒ ซึ่งทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไว้ต่อธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขาคลองสาน ได้ทำหนังสือสัญญายินยอมให้ธนาคารหักบัญชีเงินฝากประจำของจำเลยที่ ๒ ชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไว้ด้วย และธนาคารได้ใช้สิทธิหักบัญชีเงินฝากประจำของจำเลยที่ ๒ จำนวนเงิน ๑๐๓,๙๖๙ บาท ๘๖ สตางค์ ชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีในวันที่มีการฟ้องขอให้จำเลยที่ ๒ ล้มละลายนอกจากนั้นภายในระยะเวลา ๓ เดือนก่อนจำเลยทั้งสองถูกฟ้องขอให้ล้มละลาย จำเลยที่ ๒ ได้นำเงินเข้าหักทอนบัญชีเพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีอีก ๑๑ ครั้ง รวมเป็นเงิน ๔๖๐,๗๕๙ บาท ๘๐ สตางค์ การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำโดยมุ่งหมายให้ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขาคลองสาน ได้เปรียบเจ้าหนี้รายอื่น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการชำระหนี้ทั้งสองรายการดังกล่าวซึ่งรวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕๖๔,๗๒๙ บาท ๖๖ สตางค์ และให้ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด คืนเงิน ๕๖๔,๗๒๙ บาท ๖๖ สตางค์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันยื่นคำร้องขอเพิกถอนเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่กองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ ๒ (จำเลยที่ ๒)
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด ยื่นคำคัดค้านว่า การนำเงินเข้าหักทอนบัญชีตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี เป็นไปตามข้อผูกพันในสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี มิใช่เป็นการที่ลูกหนี้ที่ ๒ กระทำหรือยอมให้กระทำโดยมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้อื่น และสำหรับการหักบัญชีเงินฝากประจำมาชำระหนี้ก็เป็นไปตามสิทธิในสัญญายินยอมซึ่งทำกันไว้ก่อนระยะเวลา ๓ เดือนที่มีการขอให้ล้มละลาย ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การที่ลูกหนี้ที่ ๒ นำเงินเข้าหักทอนบัญชีเป็นการเดินบัญชีสะพัดตามปกติ ไม่เป็นการกระทำที่มุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้อื่น แต่สำหรับการที่ผู้คัดค้านนำเงินฝากประจำของลูกหนี้ที่ ๒ มาหักบัญชีตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีในวันที่ลูกหนี้ที่ ๒ ถูกฟ้องขอให้ล้มละลาย เป็นการกระทำโดยมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้อื่นตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ มาตรา ๑๑๕ มีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนเงินฝากประจำจำนวน ๑๐๓,๙๖๙ บาท ๘๖ สตางค์ โดยให้ผู้คัดค้านส่งคืนเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีให้แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การโอนบัญชีเงินฝากประจำของลูกหนี้ที่ ๒ มาชำระหนี้เบิกเงินเกินบัญชีแก่ผู้คัดค้าน เป็นการกระทำของผู้คัดค้านโดยอาศัยหนังสือสัญญายินยอมของลูกหนี้ที่ ๒ ที่ทำให้ไว้ในระยะเวลาเกินกว่าสามเดือนก่อนมีการขอให้ลูกหนี้ที่ ๒ ล้มละลายแต่ในวันที่มีการโอนเงินจำนวน ๑๐๓,๙๖๙ บาท ๘๖ สตางค์ดังกล่าว ผลแห่งสัญญาที่ว่านี้ก็ยังคงมีอยู่ กรณีถือได้ว่าเป็นการโอนหรือการกระทำซึ่งลูกหนี้ที่ ๒ มีส่วนร่วมในการกระทำหรือยินยอมให้กระทำอยู่ด้วย มิใช่เป็นการกระทำของผู้คัดค้านฝ่ายเดียว และผู้คัดค้านรู้ดีว่าลูกหนี้ที่ ๒ มีหนี้สินล้นพ้นตัวเพราะกำลังถูกฟ้องขอให้ล้มละลาย จึงถือโอกาสอาศัยสัญญาที่ลูกหนี้ที่ ๒ ทำให้ไว้โอนเงินฝากประจำของลูกหนี้ที่ ๒ มาชำระหนี้เบิกเงินเกินบัญชีแก่ผู้คัดค้านประกอบกับไม่ปรากฏว่าลูกหนี้ที่ ๒ ได้ชำระหนี้แก่เจ้าหนี้รายอื่นซึ่งมีอยู่ทั้งหมดถึง ๑๕ รายเป็นจำนวนเงิน ๒,๖๐๐,๐๐๐ บาท การกระทำของผู้คัดค้านและลูกหนี้ที่ ๒ ถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น ต้องตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ มาตรา ๑๑๕ แล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำสั่งและคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสอง
พิพากษายืน

Share