แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสี่ในประเด็นที่ว่า จำเลยรับจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย ตามคำขอของ จ. ฉบับลงวันที่ 16 มีนาคม2535 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นประเด็นตามคำฟ้องของโจทก์ที่ 4 ที่ขอให้บังคับจำเลยเพิกถอนการรับจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับดังกล่าว โดยโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3ไม่ได้ฟ้อง และขอให้บังคับจำเลยในประเด็นนี้ด้วยอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสี่ในส่วนที่เป็นอุทธรณ์ของโจทก์ที่ 1ถึงที่ 3 จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบที่จะรับไว้พิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 31 การจดทะเบียนคณะกรรมการบริหารของสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย เป็นเพียงวิธีการทางกฎหมายเพื่อให้ปรากฏหลักฐานทางทะเบียนเท่านั้น และตามข้อบังคับสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย ข้อ 19ก็กำหนดไว้เพียงว่า ให้คณะกรรมการบริหารมาจากการเลือกตั้งจากผู้แทนสมาชิกในที่ประชุมใหญ่ ไม่มีข้อกำหนดให้ต้องนำรายชื่อคณะกรรมการบริหารไปจดทะเบียน ดังนั้นแม้จะไม่ได้นำรายชื่อคณะกรรมการบริหารไปจดทะเบียน ก็ถือได้ว่าเป็นคณะกรรมการบริหารที่ชอบด้วยกฎหมาย มีอำนาจพิจารณารับสมาชิกของสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย และสมาชิกดังกล่าวมีสิทธิเข้าชื่อขอเปิดประชุมใหญ่วิสามัญทั้งมีสิทธิเข้าร่วมประชุมแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับได้มติที่ให้แก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับจึงเป็นมติที่ชอบด้วยกฎหมาย
ย่อยาว
คดีทั้งสี่สำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางให้รวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน
โจทก์ทั้งสี่สำนวนฟ้องทำนองเดียวกันว่า โจทก์ทั้งสี่ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนกรรมการบริหารสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทยต่อนายทะเบียนสำนักงานทะเบียนกลาง จำเลยในฐานะนายทะเบียนไม่รับจดทะเบียนเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสี่เสียหาย ไม่ได้เป็นประธานเลขาธิการ และกรรมการของสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทยและเฉพาะโจทก์ที่ 4 ฟ้องต่อจากข้อความดังกล่าวว่า จำเลยในฐานะนายทะเบียน สำนักงานทะเบียนกลาง ได้รับจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย ตามคำขอของนายจำลอง โหงนาค ลงวันที่ 16 มีนาคม 2535 โดยไม่ถูกต้องขอให้บังคับจำเลยรับจดทะเบียนให้โจทก์ทั้งสี่เป็นกรรมการบริหารของสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนารับจดทะเบียนและเฉพาะโจทก์ที่ 4 ขอให้บังคับจำเลยเพิกถอนการจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย ตามคำขอของนายจำลอง โหงนาค ฉบับลงวันที่ 16 มีนาคม 2535 หากจำเลยไม่ปฏิบัติ ขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยด้วย
จำเลยทั้งสี่สำนวนให้การทำนองเดียวกันว่า การที่จำเลยไม่รับจดทะเบียนตามคำขอจดทะเบียนกรรมการบริหารสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทยของโจทก์ทั้งสี่ เป็นการถูกต้องด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว ส่วนที่จำเลยรับจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของสภาองค์การลูกจ้างแห่งประเทศไทย ตามคำขอของนายจำลอง โหงนาคฉบับลงวันที่ 16 มีนาคม 2535 เป็นการรับจดทะเบียนโดยถูกต้องตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า การประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิกของสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่25 สิงหาคม 2534 ไม่ชอบด้วยข้อบังคับสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย เอกสารหมาย ล.5 ผลของการประชุมที่เลือกโจทก์ที่ 1เป็นเลขาธิการ โจทก์ที่ 2 กับที่ 3 เป็นกรรมการ และโจทก์ที่ 4เป็นประธาน ย่อมตกไป การที่จำเลยไม่รับจดทะเบียนให้โจทก์ที่ 1เป็นเลขาธิการ โจทก์ที่ 2 กับที่ 3 เป็นกรรมการ และโจทก์ที่ 4เป็นประธานนั้นชอบแล้ว ส่วนที่จำเลยรับจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทยตามคำขอของนายจำลอง โหงนาค ฉบับลงวันที่ 16 มีนาคม 2535 เนื่องจากการดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับดังกล่าวเป็นไปโดยถูกต้องตามขั้นตอนที่กำหนดในข้อบังคับสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทยเอกสารหมาย ล.5 การที่จำเลยรับจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับตามคำขอของนายจำลองจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสี่
โจทก์ทั้งสี่สำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ทั้งสี่อุทธรณ์ว่าคณะกรรมการบริหารของสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทยวาระ สิงหาคม 2531 ถึง 2534 ไม่ได้จดทะเบียนต่อนายทะเบียนไม่ใช่คณะกรรมการที่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีสิทธิที่จะรับสมาชิกเข้าเป็นสมาชิกของสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย สมาชิกที่เข้าชื่อขอเปิดประชุมใหญ่วิสามัญเป็นสมาชิกที่เข้าเป็นสมาชิกระหว่างคณะกรรมการบริหารวาระสิงหาคม 2531 ถึง 2534 ไม่มีสิทธิเป็นสมาชิกของสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทยที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย ไม่มีสิทธิเข้าชื่อขอเปิดประชุมใหญ่วิสามัญ และไม่มีสิทธิเข้าร่วมประชุมแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับ มติที่ให้แก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2535 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น พิเคราะห์แล้ว ในเบื้องต้นเห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสี่ดังกล่าว เป็นอุทธรณ์ในประเด็นข้อพิพาทตามที่ศาลแรงงานกลางกำหนดไว้ในประเด็นข้อ 3 ที่ว่า จำเลยรับจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทยตามคำขอของนายจำลอง โหงนาค ฉบับลงวันที่ 16 มีนาคม 2535โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นตามคำฟ้องของโจทก์ที่ 4ที่ขอให้บังคับจำเลยเพิกถอนการรับจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับดังกล่าว ทั้งนี้ โดยโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่ได้ฟ้องและขอให้บังคับจำเลยในประเด็นนี้ด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสี่เฉพาะในส่วนที่เป็นอุทธรณ์ของโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 จึงเป็นอุทธรณ์นอกเหนือจากประเด็นข้อพิพาทตามคำฟ้องของโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3ถือได้ว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลางเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบจะรับไว้พิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้ คดีจึงคงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสี่ดังกล่าวข้างต้นเฉพาะในส่วนที่เป็นอุทธรณ์ของโจทก์ที่ 4 เท่านั้น ซึ่งตามอุทธรณ์ของโจทก์ที่ 4ดังกล่าวศาลฎีกาเห็นว่า การจดทะเบียนคณะกรรมการบริหารของสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย เป็นเพียงวิธีการทางกฎหมายเพื่อให้ปรากฏหลักฐานทางทะเบียนเท่านั้น และตามข้อบังคับสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทยเอกสารหมาย ล.5 ข้อ 19ก็กำหนดไว้เพียงว่าให้คณะกรรมการบริหารมาจากการเลือกตั้งจากผู้แทนสมาชิกในที่ประชุมใหญ่ โดยข้อบังคับดังกล่าวไม่มีข้อกำหนดให้ต้องนำรายชื่อคณะกรรมการบริหารที่ได้รับเลือกตั้งไปจดทะเบียนดังนั้น แม้จะไม่ได้นำรายชื่อคณะกรรมการบริหารวาระสิงหาคม 2531ถึง 2534 ไปจดทะเบียน ก็ถือได้ว่าคณะกรรมการบริหารดังกล่าวเป็นคณะกรรมการบริหารของสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทยโดยชอบด้วยกฎหมาย และมีอำนาจพิจารณารับสมาชิกเข้าเป็นสมาชิกของสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทยได้โดยชอบ สมาชิกที่เข้าเป็นสมาชิกระหว่างคณะกรรมการบริหารวาระสิงหาคม 2531ถึง 2534 จึงเป็นสมาชิกของสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทยที่สมบูรณ์ตามกฎหมายมีสิทธิเข้าชื่อขอเปิดประชุมใหญ่วิสามัญและมีสิทธิเข้าร่วมประชุมแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับได้ ดังนั้นมติที่ให้แก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2535จึงเป็นมติที่ชอบด้วยกฎหมาย
พิพากษายืน