คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3840/2538

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามมาตรา30แห่งประมวลรัษฎากรกำหนดว่าในกรณีเจ้าพนักงานประเมินผู้ทำการประเมินมีสำนักงานอยู่ในเขตจังหวัดพระนครให้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์กรมสรรพากรไม่มีหน้าที่ในการสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์เพื่อให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์และตามฟ้องโจทก์มิได้ยืนยันว่าอธิบดีกรมสรรพากรในฐานะคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เป็นผู้มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องและเนื่องจากเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์นี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนจึงชอบที่ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ขอให้ ศาล พิพากษา ให้ จำเลย ทั้ง สอง รับ อุทธรณ์ ของ โจทก์เพื่อ ให้ คณะกรรมการ พิจารณา อุทธรณ์ พิจารณา ต่อไป ตาม กฎหมาย หาก จำเลยทั้ง สอง ไม่ปฏิบัติ ตาม ให้ ถือ คำพิพากษา หรือ คำสั่งศาล แทน การแสดง เจตนาของ จำเลย ทั้ง สอง
จำเลย ทั้ง สอง ให้การ ว่า โจทก์ ไม่มี อำนาจฟ้อง จำเลย ทั้ง สองขอให้ ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลาง งดสืบพยาน โจทก์ และ จำเลย แล้ว วินิจฉัย ว่าตาม คำฟ้อง โจทก์ มิได้ ยืนยัน ว่าการ ย้าย สำนักงาน ไป อยู่ ที่ ใหม่โจทก์ ได้ ยื่น คำขอ จดทะเบียน เปลี่ยนแปลง รายการ ที่ ตั้ง สำนักงานต่อ สำนักงาน ทะเบียน พาณิชย์ ถือได้ว่า โจทก์ ยัง มี สำนักงาน อยู่ ที่ เดิมตาม ที่ ได้ จดทะเบียน ไว้ การ ส่งหมาย เรียก และ หนังสือ แจ้ง การ ประเมินณ สำนักงาน เดิม จึง ชอบ ด้วย ประมวลรัษฎากร มาตรา 8 โจทก์ อุทธรณ์การ ประเมิน เมื่อ ล่วงเลย มา 6 ปี เศษ นับแต่ วันที่ ถือว่า เป็น อัน ได้รับหนังสือ แจ้ง การ ประเมิน และ อธิบดี กรมสรรพากร ไม่ อนุมัติ ให้ ขยาย กำหนดเวลา อุทธรณ์ แก่ โจทก์ โจทก์ จึง ไม่อาจ อุทธรณ์ การ ประเมิน ได้ และไม่มี อำนาจฟ้อง ไม่จำต้อง วินิจฉัย ประเด็น อื่น อีก พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์ ต่อ ศาลฎีกา
ศาลฎีกา แผนก คดีภาษีอากร วินิจฉัย ว่า “ประมวลรัษฎากร มาตรา 30บัญญัติ ว่า “ใน การ อุทธรณ์ การ ประเมิน ภาษีอากร ที่ อำเภอ ไม่มี หน้าที่ประเมิน ให้ อุทธรณ์ ภายใน กำหนด สามสิบ วัน นับแต่ วัน ได้รับ แจ้งการ ประเมิน โดย ให้ อุทธรณ์ ตาม เกณฑ์ และ วิธีการ ดัง ต่อไป นี้
(1) เว้นแต่ ใน กรณี ห้าม อุทธรณ์ ตาม มาตรา 21 หรือ มาตรา 25
เจ้าพนักงาน ประเมิน ผู้ทำการ ประเมิน มี สำนักงาน อยู่ ใน เขตจังหวัด พระนคร ให้ อุทธรณ์ ต่อ คณะกรรมการ พิจารณา อุทธรณ์ ซึ่ง ประกอบ ด้วยอธิบดี หรือ ผู้แทน ผู้แทน กรมอัยการ และ ผู้แทน กรมมหาดไทย
(2) เว้นแต่ กรณี ห้าม อุทธรณ์ ตาม มาตรา 33 ให้ อุทธรณ์ คำวินิจฉัยอุทธรณ์ ของ คณะกรรมการ พิจารณา อุทธรณ์ ต่อ ศาล ภายใน สามสิบ วัน นับแต่วัน ได้รับ แจ้ง คำวินิจฉัย อุทธรณ์ ” ดังนั้น การ อุทธรณ์ การ ประเมินตาม กรณี ใน คำฟ้อง ของ โจทก์ ตาม บท กฎหมาย ดังกล่าว แล้ว จึง ต้อง ยื่น ต่อคณะกรรมการ พิจารณา อุทธรณ์ ซึ่ง ประกอบ ด้วย อธิบดี กรมสรรพากร หรือ ผู้แทนผู้แทน กรมอัยการ และ ผู้แทน กรมมหาดไทย และ คณะกรรมการ พิจารณา อุทธรณ์ซึ่ง ประกอบ ด้วย บุคคล ดังกล่าว แล้ว เป็น ผู้มีอำนาจ วินิจฉัย อุทธรณ์ของ โจทก์ จำเลย ที่ 1 หา มี หน้าที่ ใน การ สั่ง รับ อุทธรณ์ ของ โจทก์เพื่อ ให้ คณะกรรมการ พิจารณา อุทธรณ์ วินิจฉัย อุทธรณ์ ของ โจทก์ ไม่โจทก์ จึง ไม่มี สิทธิ ฟ้อง ขอให้ ศาล บังคับ จำเลย ที่ 1 ให้ รับ อุทธรณ์ของ โจทก์ ได้ และ ตาม คำฟ้อง โจทก์ หา ได้ ยืนยัน ว่า จำเลย ที่ 2 ใน ฐานะคณะกรรมการ พิจารณา อุทธรณ์ เป็น ผู้ มี คำสั่ง ไม่รับ อุทธรณ์ ของ โจทก์ ไม่โจทก์ จึง ไม่มี เหตุ ที่ จะ มา ฟ้องบังคับ จำเลย ที่ 2 ให้ รับ อุทธรณ์ของ โจทก์ การ ที่ โจทก์ ตีความ เอาการ กระทำ ของ จำเลย ที่ 1 ที่ แจ้งแก่ โจทก์ ว่า ไม่ ขยายเวลา อุทธรณ์ แก่ โจทก์ มีผล เป็น การ ที่ จำเลย ที่ 1ไม่รับ อุทธรณ์ ของ โจทก์ จำเลย ที่ 1 กระทำ ใน นาม ของ คณะกรรมการพิจารณา อุทธรณ์ ซึ่ง มี จำเลย ที่ 2 เป็น ประธาน และ ตัวแทน จึง ต้องรับผิด ร่วมกัน นั้น มีผล เท่ากับ โจทก์ กล่าวอ้าง ว่า คณะกรรมการ พิจารณาอุทธรณ์ วินิจฉัย ไม่รับ อุทธรณ์ ของ โจทก์ เป็น การ ไม่ชอบ นั่นเองแม้ จะ เป็น ดัง กรณี ที่ โจทก์ เข้าใจ เอา เอง ดังกล่าว ก็ ไม่มี เหตุจำเป็นที่ โจทก์ จะ ต้อง มา ฟ้อง ขอให้ ศาล บังคับ จำเลย ที่ 2 ให้ รับ อุทธรณ์ของ โจทก์ ตาม คำขอ ท้ายฟ้อง อีก เพราะ หาก ผล การกระทำ ของ จำเลย ที่ 1ดังกล่าว เท่ากับ คณะกรรมการ พิจารณา อุทธรณ์ สั่ง ไม่รับ อุทธรณ์ของ โจทก์ แล้ว โจทก์ ย่อม มีสิทธิ อุทธรณ์ คำวินิจฉัย ของ คณะกรรมการพิจารณา อุทธรณ์ และ การ ประเมิน ของ เจ้าพนักงาน ประเมิน ต่อ ศาล ได้อำนาจฟ้อง ของ โจทก์ เป็น ปัญหา เกี่ยวกับ ความสงบ เรียบร้อย ของ ประชาชนศาลฎีกา ยกขึ้น วินิจฉัย ได้เอง ที่ ศาลภาษีอากรกลาง พิพากษายก ฟ้องโจทก์มา นั้น ศาลฎีกา เห็นพ้อง ด้วย ใน ผล ไม่จำต้อง วินิจฉัย ข้อ อุทธรณ์ของ โจทก์ ต่อไป ”
พิพากษายืน

Share