แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเอาข้อความที่โจทก์แจ้งต่อเจ้าพนักงานสรรพสามิตไปฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน ซึ่งจำเลยทราบดีว่าหาใช่ความเท็จไม่ แต่ฉวยโอกาสที่โจทก์ทำหลักฐานอันไม่ตรงกันความจริงไว้ที่พนักงานสอบสวนอันเนื่องมาจากที่โจทก์จำเลยสมยอมกันเพื่อขอรับเงินรางวัลนำจับฝิ่น มาฟ้องกล่าวหาโจทก์ ข้อตกลงสมยอมเช่นนี้ จะถือว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายอันจะมีอำนาจฟ้องจำเลยฐานฟ้องเท็จและเบิกความเท็จในคดีนี้หาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาฟ้องเท็จและเบิกความเท็จต่อศาล ทั้งนี้โดยจำเลยบังอาจเอาข้อความเท็จขึ้นฟ้องโจทก์ต่อศาลแขวงพระนครใต้ตามคดีแดงที่ ๖๐๒๓/๒๕๐๖ ว่า โจทก์ได้แจ้งความเท็จต่อพนักงานกรมสรรพสามิตว่าโจทก์กับพวกเป็นผู้จับฝิ่นรายพิพาทได้เอง จำเลยมิได้เป็นผู้สั่งให้ไปจับ และโจทก์ยังได้แจ้งต่อหัวหน้ากองคลังให้จดข้อความอันเป็นเท็จในเรื่องทำนองเดียวกัน ผลคดีปรากฏว่าศาลแขวงพระนครใต้พิพากษายกฟ้อง โดยฟังว่า จำเลยมิได้เป็นผู้สั่งให้จับฝิ่นพิพาทดังที่จำเลยอ้าง และจำเลยยังบังอาจเบิกความเท็จต่อศาลในการพิจารณาคดีดังกล่าวทำนองเดียวกันด้วย ซึ่งจำเลยรู้ดีแล้วว่าเป็นความเท็จ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๕, ๑๗๗
ศาลชั้นต้นไต่สวนและประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยมิได้เป็นผู้สั่งให้โจทก์ไปจับฝิ่นรายพิพาท โจทก์กับพวกเป็นผู้จับได้เอง แต่โจทก์ได้สมยอมกับจำเลยโดยไปให้การไว้ในชั้นสอบสวนว่าจับฝิ่นพิพาทรายนี้โดยได้รับคำสั่งจากจำเลย อันเป็นเหตุให้จำเลยถือโอกาสนำหลักฐานชิ้นนี้มาฟ้องโจทก์ในคดีดังกล่าว การที่จำเลยฟ้องโจทก์ในคดีดังกล่าวก็เพราะโจทก์เป็นผู้ร่วมในการที่จะก่อให้เกิดเป็นคดีขึ้น โดยไปสมยอมให้มีการแปรผันความจริงไป โจทก์จึงหามีอำนาจจะมาฟ้องลงโทษจำเลยในคดีนี้ไม่ พิพากษาให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงยืนตามศาลชั้นต้น แต่ในประเด็นว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายในอันที่จะมีสิทธิฟ้องคดีนี้หรือไม่นั้นเห็นว่า ข้อสมยอมของโจทก์เป็นเรื่องในชั้นสอบสวนคดี อันเป็นคนละเหตุ คนละตอนกับในชั้นจำเลยฟ้องโจทก์ เรียกไม่ได้ว่าโจทก์ได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยในคดีแดงที่ ๖๐๒๓/๒๕๐๖ ของศาลดังกล่าวโจทก์จึงเป็นผู้เสียหายมีสิทธิฟ้องจำเลยในคดีนี้ได้ พิพากษากลับให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๕, ๑๗๗ วรรค ๒แต่เห็นสมควรให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗ วรรค ๒ประกอบด้วยมาตรา ๙๑ จำคุกจำเลย ๘ เดือน แต่ให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด ๓ ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖
โจทก์จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงยืนตามศาลล่าง ๒ ศาล ส่วนในข้อที่จำเลยฎีกาว่า การที่จำเลยทำหลักฐานไว้ในชั้นสอบสวนอันเป็นมูลเหตุให้จำเลยนำไปฟ้องโจทก์ฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน โจทก์จึงไม่เป็นผู้เสียหายที่จะมีสิทธิมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ได้นั้นวินิจฉัยว่าข้อความที่จำเลยนำไปฟ้องโจทก์ฐานแจ้งความเท็จนั้นจำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าหาใช่ความเท็จไม่ การที่จำเลยฉวยโอกาสอาศัยหลักฐานอันไม่ตรงกับความเป็นจริงที่โจทก์ทำไว้กับพนักงานสอบสวนไปฟ้องโจทก์อันเป็นฟ้องเท็จซึ่งเป็นอีกเรื่องหนึ่ง หาใช่มูลเหตุจากการที่โจทก์จำเลยสมยอมกันดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้ไม่ส่วนในข้อฎีกาโจทก์ที่ขอให้ลงโทษจำเลยหนักกว่านี้ กรณียังไม่มีเหตุสมควรจะแก้ไข
พิพากษายืน