คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 384/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 เป็นภริยาจำเลยที่ 3 ได้ช่วยจำเลยที่ 3 ถอดเสื้อผ้าผู้เสียหายออกระหว่างนั้นก็คอยปิดปากและจับแขนผู้เสียหายไว้เหนือศีรษะให้จำเลยที่ 3 กระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่ ถือได้ว่าเป็นตัวการร่วมในการกระทำชำเราผู้เสียหายแล้วตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 83
การที่ผู้เสียหายเบิกความถึงเหตุการณ์หลังจากถูกกระทำชำเราแล้วจำเลยที่ 2 และที่ 3 ข่มขู่ว่าหากเอาเรื่องไปบอกคนอื่นจะฆ่าให้ตาย ผู้เสียหายเคยเล่าเรื่องให้จำเลยที่ 1 ฟังแต่ไม่ได้รับการช่วยเหลือ ซ้ำยังถูกจำเลยที่ 2 ตบอีกอันเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้เสียหายเกรงกลัว ไม่กล้าเล่าให้ผู้ใดฟัง ผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์อายุเพียง 14 ปีเศษ มีการศึกษาน้อยไม่เคยอยู่ที่จังหวัดราชบุรีซึ่งเป็นจังหวัดเกิดเหตุมาก่อน ไม่ทราบว่าสถานีตำรวจอยู่ที่ไหนและจะต้องดำเนินการอย่างไร เมื่อสบโอกาสเพราะบ้านเกิดเหตุปลอดคน ผู้เสียหายจึงหนีกลับบ้านที่จังหวัดเพชรบุรีแล้วเล่าเรื่องให้ ล. ฟังนั้น เป็นการเบิกความถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นขั้นเป็นตอนตามลำดับและสมเหตุผล แม้ว่าเมื่อเกิดเหตุแล้วผู้เสียหายไม่ได้รีบแจ้งความก็ไม่เป็นพิรุธเพราะถูกขู่เอาไว้ส่วนที่ ล. เบิกความว่าไม่ได้รีบแจ้งความทันทีเพราะไม่อาจตัดสินใจว่าจะจัดการอย่างไร เนื่องจากจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีพระคุณต่อผู้เสียหายมาก่อน ต้องรอปรึกษามารดาจำเลยที่ 1 ก่อนแล้วจึงไปแจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสามนั้น เมื่อไม่ปรากฏว่า ล. เคยมีเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 3 มาก่อน จึงไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งหรือปรักปรำจำเลยที่ 3 คำเบิกความดังกล่าวของ ล. จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 พรากเด็กหญิง ร. อายุ 14 ปีเศษ ไปจากนาย ล. บิดา ผู้ปกครอง ผู้ดูแล โดยปราศจากเหตุอันสมควรเหตุเกิดที่ตำบลยางหัก อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี และตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี เกี่ยวพันกัน เมื่อวันที่ 1และ 4 มิถุนายน 2542 เวลากลางคืนหลังเที่ยง และเมื่อวันที่ 6มิถุนายน 2542 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันใช้กำลังกอดปล้ำและข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิง ร. ผู้เสียหายซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นภริยาของจำเลยที่ 3ช่วยกันจับแขน ขา อุดปากและถอดเสื้อผ้าผู้เสียหายให้จำเลยที่ 3ข่มขืนกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่ โดยผู้เสียหายไม่ยินยอมเหตุเกิดที่ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรีขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 276,277, 317

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรกประกอบด้วยมาตรา 83 การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 กระทงละ4 ปี รวม 3 กระทง จำคุกคนละ 12 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 3 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่า เด็กหญิง ร. ผู้เสียหายเป็นบุตรนาย ล. และนาง ต. เกิดวันที่ 24 กรกฎาคม 2527 ขณะเกิดเหตุมีอายุ14 ปีเศษ หลังจากนาย ล. เลิกกับนาง ต. แล้ว ได้อยู่กินฉันสามีภริยากับนางบุญล้น เทพเต็ม ผู้เสียหายเคยไปอาศัยอยู่กับนางเน้ย เทพเต็มมารดานางบุญล้น และบางครั้งก็ไปอาศัยอยู่กับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพี่สาวนางบุญล้น เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2542 จำเลยที่ 1 พาผู้เสียหายไปบ้านจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นภริยาสามีกันโดยบอกผู้เสียหายว่าเพื่อให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 พาผู้เสียหายไปทำบัตรประจำตัวประชาชนระหว่างเกิดเหตุผู้เสียหายพักอยู่บ้านจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นบ้านชั้นเดียว ไม่ได้แบ่งเป็นสัดส่วน เพียงแต่ใช้ตู้เสื้อผ้าและผ้าม่านกั้นเป็นห้องนอนของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามภาพถ่ายสถานที่เกิดเหตุหมาย จ.3 มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ว่า จำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำชำเราผู้เสียหายตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7หรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่า ระหว่างที่พยานพักอยู่บ้านจำเลยที่ 2 และที่ 3 นั้น พยานถูกจำเลยที่ 3 กระทำชำเรา3 คืน คือวันที่ 1 มิถุนายน 2542 เวลาประมาณ 22 นาฬิกา และวันที่ 4มิถุนายน 2542 เวลาประมาณ 23 นาฬิกา ถูกกระทำชำเราคืนละ 1 ครั้งส่วนวันที่ 6 มิถุนายน 2542 เวลาประมาณ 1 นาฬิกา ถูกกระทำชำเรา2 ครั้ง โดยทั้งสามคืนดังกล่าวจำเลยที่ 2 เป็นคนพาพยานซึ่งนอนอยู่ห้องโถงหน้าห้องนอนของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไปให้จำเลยที่ 3 กระทำชำเราในห้องนอนของจำเลยที่ 2 และที่ 3 โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 ช่วยกันถอดเสื้อผ้าของพยานออก ระหว่างนั้นจำเลยที่ 2 คอยปิดปากพยานและจับแขนพยานไว้เหนือศีรษะให้จำเลยที่ 3 กระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่ของจำเลยที่ 3 แล้วจำเลยที่ 2 และที่ 3 พูดขู่ว่าหากเอาเรื่องไปบอกคนอื่นจะถูกฆ่า พยานกลัวและคิดจะหนีแต่ก็ไม่มีโอกาส พยานเคยเล่าเรื่องให้จำเลยที่ 1 ฟังแล้ว แต่ก็ไม่ได้รับการช่วยเหลือและยังถูกจำเลยที่ 2 ตบอีกด้วย ต่อมาวันที่ 15 มิถุนายน 2542 เวลาประมาณ15 นาฬิกา ที่บ้านเกิดเหตุปลอดคน พยานจึงหนีกลับบ้านแล้วเล่าเรื่องให้นาย ล. และนาง น. ฟังแล้วพากันไปแจ้งความและนำเจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมจำเลยทั้งสาม ผู้เสียหายซึ่งเป็นประจักษ์พยานเบิกความถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นขั้นเป็นตอนตามลำดับและสมเหตุผลแม้ว่าเมื่อเกิดเหตุแล้วผู้เสียหายไม่ได้รีบแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจก็ไม่เป็นพิรุธ เนื่องจากผู้เสียหายถูกจำเลยที่ 2 และที่ 3 ขู่ว่าจะฆ่าหากเอาเรื่องไปบอกคนอื่นตั้งแต่คืนแรกที่เกิดเหตุแล้ว ผู้เสียหายเคยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้จำเลยที่ 1 ฟัง แต่ก็ไม่ได้รับการช่วยเหลือซ้ำยังถูกจำเลยที่ 2 ตบเสียอีกเมื่อได้ทราบเช่นนั้น อันเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้เสียหายเกรงกลัวและไม่กล้าเล่าให้ผู้ใดฟังอีก ผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์อายุเพียง 14 ปีเศษ มีการศึกษาน้อย ไม่เคยอยู่ที่จังหวัดราชบุรีซึ่งเป็นจังหวัดที่เกิดเหตุมาก่อน จึงอาจไม่ทราบว่าสถานีตำรวจอยู่ที่ไหนและจะต้องดำเนินการอย่างไร จนกระทั่งสบโอกาสเมื่อบ้านเกิดเหตุปลอดคน ผู้เสียหายจึงหนีกลับบ้านที่จังหวัดเพชรบุรี แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้นาย ล. และนาง น. ฟัง ซึ่งบุคคลทั้งสองดังกล่าวก็เบิกความสอดคล้องต้องกันกับผู้เสียหายมีเหตุผลน่าเชื่อฟัง การที่นาย ล. ไม่รีบแจ้งความทันทีที่ได้รับทราบจากผู้เสียหายคงเป็นเพราะยังไม่อาจตัดสินใจได้ว่าควรจะจัดการอย่างไรดี ทั้งนี้เพราะจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีพระคุณต่อผู้เสียหายมาก่อน เห็นได้จากนาย ล. ต้องรอปรึกษาหารือนาง น.มารดาจำเลยที่ 1 เสียก่อน แล้วจึงไปแจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสามพยานโจทก์ทั้งสามดังกล่าวไม่เคยมีเหตุโกรธเคืองจำเลยที่ 3 มาก่อนจึงไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งหรือปรักปรำจำเลยที่ 3ให้ต้องรับโทษ คำเบิกความของพยานดังกล่าวจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือและการที่แพทย์ตรวจไม่พบร่องรอยการกระทำชำเรานั้น ก็ไม่เป็นพิรุธตามที่จำเลยที่ 3 ฎีกา เนื่องจากแพทย์ได้ตรวจร่างกายผู้เสียหายหลังเกิดเหตุครั้งหลังสุดแล้วถึง 14 วัน จึงไม่พบอสุจิในช่องคลอดหรือบาดแผลที่อวัยวะเพศของผู้เสียหาย พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง คำพยานจำเลยที่ 3 ซึ่งอ้างว่าจำเลยที่ 3 ไม่ได้กระทำความผิดนั้นเป็นเพียงคำเบิกความลอย ๆ ไม่อาจฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำชำเราผู้เสียหายที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 3 มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 3 ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share