แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ร้องกับลูกหนี้ได้จดทะเบียนหย่ากัน และได้ทำบันทึกเกี่ยวกับทรัพย์สินท้ายทะเบียนหย่าว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 125591 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นของผู้ร้อง ส่วนที่พิพาททั้งห้าแปลงเป็นของลูกหนี้ ในชั้นสอบสวนคำร้องขอให้ถอนการยึดทรัพย์ที่ดินโฉนดเลขที่ 125591 ของผู้ร้องนั้น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฟังข้อเท็จจริงว่า บันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับทรัพย์สินท้ายทะเบียนหย่าระหว่างผู้ร้องกับลูกหนี้ ที่ตกลงกันให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 125591 เป็นของผู้ร้องนั้นเป็นการแสดงเจตนาลวงเป็นโมฆะไม่มีผลบังคับ ข้อเท็จจริงดังกล่าวต้องผูกพันเจ้าพนักงาน-พิทักษ์ทรัพย์และผู้ร้อง เมื่อผู้ร้องมายื่นคำร้องขอกันส่วนเงินค่าขายทอดตลาดที่ดินพิพาททั้งห้าแปลง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะอ้างว่า คำวินิจฉัยของเจ้าพนักงาน-พิทักษ์ทรัพย์ดังกล่าว เป็นการวินิจฉัยเกี่ยวกับที่ดินโฉนดเลขที่ 125591 เพียงแปลงเดียว ไม่เกี่ยวกับที่ดินพิพาทอีกห้าแปลงที่เหลือย่อมไม่ได้ เพราะที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงก็เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงเกี่ยวกับทรัพย์สินท้ายทะเบียนหย่า ซึ่งเจ้าพนักงาน-พิทักษ์ทรัพย์วินิจฉัยว่า เป็นการแสดงเจตนาลวงเป็นโมฆะไปแล้วนั่นเอง เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ทรัพย์สินของผู้ร้องกับลูกหนี้ตามบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนหย่ายังไม่มีการแบ่งกัน ที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงตามคำร้องจึงยังเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมของผู้ร้องและลูกหนี้ ผู้ร้องจึงมีสิทธิร้องขอกันส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินพิพาททั้งห้าแปลง