แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 มีหน้าที่ขับรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุรับจ้างบรรทุกหิน ดิน ทรายอันเป็นการทำงานให้แก่จำเลยที่ 2 ผู้เป็นนายจ้าง ภายใต้บังคับบัญชาของนายจ้าง ถึงแม้จำเลยที่ 2 จะจ่ายสินจ้างให้จำเลยที่ 1 เป็นรายเที่ยวก็เป็นแต่เพียงวิธีการคำนวณสินจ้างและกำหนดจ่ายสินจ้างเมื่องานได้ทำแล้วเสร็จหาทำให้อำนาจบังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 เปลี่ยนแปลงไปไม่ความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยทั้งสองจึงต้องด้วยลักษณะจ้างแรงงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 575 การที่จำเลยที่ 1ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 เพื่อจะนำไปเก็บ ก็เป็นการปฏิบัติงานของนายจ้างตามที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จลุล่วงไปย่อมเป็นการกระทำในทางการที่จ้าง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เด็กชายชัยโรจน์ พูลจันทร์ อายุ ๑๓ ปี เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายและอยู่ในความปกครองของโจทก์ จำเลยที่ ๒ เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน น.ศ.๐๕๐๙๒ และได้ร่วมกับจำเลยที่ ๓ ครอบครองหาผลประโยชน์รับจ้างบรรทุกหิน ดิน ทรายและใช้ในกิจการส่วนตัว กับได้ร่วมกันเป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้ขับรถคันดังกล่าว เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๑๙ เวลากลางวันจำเลยที่ ๑ ได้ขับรถคันดังกล่าวไปในทางการที่จ้างไปตามถนนสายทุ่งสง – นครศรีธรรมราช ระหว่างหลักกิโลเมตรที่ ๑๑ – ๑๒ ซึ่งเป็นทางโค้งไปมาระหว่างช่องไหล่เขาและเป็นทางลาดลงสู่ที่ต่ำคดเคี้ยวไปมาซึ่งไม่สามารถมองเห็นรถที่แล่นสวนทางมาในระยะไกลได้จำเลยที่ ๑ ได้ขับรถด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังโดยขับด้วยความเร็วสูง ขับคร่อมเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนกินทางเข้าไปในเส้นทางของรถที่จะแล่นสวนทางมา เป็นเหตุให้รถของจำเลยที่ ๑ พุ่งเข้าชนท้ายรถยนต์โดยสารที่แล่นสวนทางมาได้รับความเสียหายและผู้โดยสารคือเด็กชายชัยโรจน์ พูลจันทร์ บุตรโจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัสแขนขวาขาด จำเลยที่ ๑ ถูกฟ้องเป็นคดีอาญาศาลพิพากษาลงโทษจำคุก คดีถึงที่สุด การกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๑ ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้พิพากษาบังคับให้จำเลยทั้งสามชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่าจำเลยที่ ๑ มิได้เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จำเลยที่ ๑ มิได้ขับรถโดยประมาท แต่รถที่แล่นสวนทางมาพุ่งเข้าชนรถของจำเลยที่ ๑ ในเส้นทางเดินรถของจำเลยที่ ๑ โจทก์เรียกค่าเสียหายสูงเกินไป ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ มิได้เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ไม่ได้ร่วมกันดำเนินกิจการใช้รถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุทั้งในกิจการส่วนตัวและรับจ้างหาผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งไม่ได้ร่วมกันจ้างจำเลยที่ ๑ ทำหน้าที่ขับรถยนต์บรรทุก จำเลยที่ ๑ มิได้ขับรถโดยประมาทคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๔๕๒/๒๕๒๐ ของศาลมณฑลทหารบกที่ ๕ (ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช) จะนำมายันจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ มิได้ จำเลยที่ ๒ ได้ประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุไว้กับบริษัทสินมั่นคงประกันภัย จำกัด ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ยื่นคำร้องขอให้ศาลเรียกบริษัทสินมั่นคง ประกันภัยจำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยร่วมให้การว่า จำเลยที่ ๑ มิได้เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ไม่ได้ดำเนินกิจการใช้รถคันดังกล่าวหาประโยชน์ร่วมกันจำเลยที่ ๑ มิได้ทำละเมิด และต่อสู้ว่าฟ้องเคลือบคลุมและคดีขาดอายุความจำเลยร่วมไม่ได้เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุ หากเป็นผู้รับประกันภัยก็ไม่ต้องรับผิด เพราะผู้เอาประกันภัยผิดเงื่อนไขและผิดสัญญาประกันภัย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และจำเลยร่วมร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และจำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และจำเลยร่วมฎีกาทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเฉพาะที่เป็นปัญหาข้อกฎหมายฎีกาเพียงข้อเดียวว่า จำเลยที่ ๑ ผู้ขับรถยนต์บรรทุกได้รับสินจ้างจากจำเลยที่ ๒ เป็นรายเที่ยว จึงมิใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ และเกิดเหตุขณะจำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์เพื่อจะนำไปเก็บไม่อยู่ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยเองนำสืบรับว่าจำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ มีหน้าที่ขับรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุรับจ้างบรรทุกหินดิน ทราย อันเป็นการทำงานให้แก่จำเลยที่ ๒ ผู้เป็นนายจ้างภายใต้บังคับบัญชาของนายจ้าง ถึงแม้จำเลยที่ ๒ จะจ่ายสินจ้างให้จำเลยที่ ๑ เป็นรายเที่ยว ก็เป็นแต่เพียงวิธีการคำนวณสินจ้างและกำหนดจ่ายสินจ้างเมื่องานได้ทำแล้วเสร็จ หาทำให้อำนาจบังคับบัญชาของจำเลยที่ ๒ เปลี่ยนแปลงไปไม่ ความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยทั้งสองจึงต้องด้วยลักษณะจ้างแรงงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๕๗๕ การที่จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๒ เพื่อจะนำไปเก็บก็เป็นการปฏิบัติงานของนายจ้างตามที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จลุล่วงไปย่อมเป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ และวินิจฉัยในปัญหาข้อเท็จจริงว่าจำเลยร่วมต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเพียง ๑๐,๐๐๐ บาท ที่ศาลล่างให้จำเลยร่วมรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เกินไปกว่าจำนวนอันจะพึงต้องใช้ตามสัญญาศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้ ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ ๑๒๙,๖๗๙ บาท โดยให้จำเลยร่วมร่วมรับผิดเพียง ๑๐,๐๐๐ บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์