คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3831/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินของจำเลยและที่พิพาทแก่โจทก์โดยบุตรจำเลยที่ปรากฎชื่อว่าเป็นผู้จะขายที่พิพาทในสัญญาจะซื้อขายมิได้ลงลายมือชื่อเป็นคู่สัญญากับโจทก์ จึงเป็นกรณีจำเลยตกลงจะขายที่พิพาทแก่โจทก์ด้วย แม้ขณะทำสัญญาจะซื้อขายจำเลยมิใช่เจ้าของที่พิพาทก็ไม่ทำให้สัญญาดังกล่าวเป็นการพ้นวิสัยและตกเป็นโมฆะ เพราะจำเลยมีโอกาสขวนขวายเพื่อให้ได้ที่พิพาทมาโอนแก่โจทก์ตามกำหนดเวลาที่ตกลงกันได้ ที่พิพาทเป็นของบุตรจำเลยซึ่งเป็นบุคคลนอกสัญญาจะซื้อขายเพราะไม่ได้ลงลายมือชื่อเข้าเป็นคู่สัญญากับโจทก์หรือมอบอำนาจให้nจำเลยกระทำการแทน และไม่รู้เห็นยินยอมในการทำสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทด้วย โจทก์จึงไม่อาจบังคับให้จำเลยโอนที่พิพาทแก่โจทก์เพราะสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้กระทำได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 4364 ตำบลหนองขาม อำเภอศรีราชาจังหวัดชลบุรี แก่โจทก์โดยโจทก์จะชำระราคาที่ดินดังกล่าวแก่จำเลยเป็นเงิน 1,755,500 บาท ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยหรือให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 4,311,000 บาท
จำเลยให้การว่า ในการทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกันนั้น จำเลยประสงค์จะขายที่ดินที่เป็นของจำเลย ส่วนที่ดินที่พิพาทเป็นของบุคคลภายนอกซึ่งขณะทำสัญญาโจทก์ทราบดีว่ายังไม่เป็นที่แน่นอนว่าบุคคลภายนอกจะขายให้หรือไม่ สัญญาจะซื้อขายที่ดินคงผูกพันกันแต่เฉพาะที่ดินส่วนที่เป็นของจำเลยและจำเลยได้จดทะเบียนโอนขายให้โจทก์เสร็จสิ้นแล้ว ส่วนเงินจำนวน 400,000 บาทที่วางมัดจำไว้นั้นได้จัดเอาเป็นการใช้เงินบางส่วนในราคาที่ดินของจำเลยที่จดทะเบียนโอนแก่โจทก์เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้บังคับตามสัญญาโจทก์จังไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายเอาแก่จำเลยโจทก์ไม่ได้รับความเสียหายตามฟ้องเพราะที่พิพาทไม่ได้มีราคาสูงดังโจทก์กล่าวอ้างขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน10,000 บาท
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 100,000 บาท
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า สัญญาจะซื้อขายตามเอกสารหมาย จ.1 ในส่วนที่เกี่ยวกับที่พิพาท บุตรชายจำเลยซึ่งมีสิทธิในที่พิพาทมิได้เข้าเป็นคู่สัญญากับโจทก์ นิติกรรมระหว่างโจทก์จำเลยเกี่ยวกับที่พิพาทจึงตกเป็นพ้นวิสัย เป็นโมฆะไม่มีผลบังคับนั้นเห็นว่า วัตถุประสงค์ของการซื้อขายก็คือให้ผู้ซื้อได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ต้องการซื้อโดยชำระราคาตามที่ตกลงกันไว้ ดังนั้นการที่โจทก์จำเลยนำสัญญาจะซื้อขายกันตามเอกสารหมาย จ.1 มีข้อความระบุชัดแจ้งว่าจำเลยตกลงขายที่พิพาทด้วยโดยจะไปจดทะเบียนโอนสิทธิแก่โจทก์ภายใน 90 วัน และมีหลักฐานตามเอกสารหมาย จ.2 และ จ.3ว่าจำเลยเป็นผู้รับเงินมัดจำจำนวน 400,000 บาท จากโจทก์ประกอบกับบุตรของจำเลยที่ปรากฎชื่อเป็นผู้จะขายที่พิพาทแก่โจทก์ต่อท้ายชื่อจำเลยมิได้ลงลายมือชื่อเป็นคู่สัญญากับโจทก์ จึงเป็นกรณีที่จำเลยตกลงจะขายที่พิพาทแก่โจทก์ด้วย แม้จะขณะโจทก์จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายตามเอกสารหมาย จ.1 จำเลยมิใช่เจ้าของที่พิพาทก็ไม่ทำให้สัญญาดังกล่าวเป็นการพ้นวิสัยและตกเป็นโมฆะ เพราะจำเลยยังมีโอกาสขวนขวายเพื่อให้ได้ที่พิพาทมาโอนแก่โจทก์ตามวันเวลาที่ตกลงกันได้ เมื่อจำเลยไม่สามารถโอนที่พิพาทแก่โจทก์ภายในเวลาที่ตกลงกัน จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ในความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา
ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์นำสืบได้ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยโดยจำเลยบอกกล่าวแก่โจทก์เช่นนั้น ทั้งผู้มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของที่พิพาทก็คือบุตรจำเลยที่ยังอาศัยอยู่กับจำเลย ตามพฤติการณ์จึงฟังได้ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยที่เพียงแต่ใส่ชื่อบุตรจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง จึงไม่ใช่กรณีที่สภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้จำเลยโอนที่พิพาทแก่โจทก์นั้น เห็นว่า หากที่พิพาทเป็นของจำเลยก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่จำเลยจะต้องใส่ชื่อบุตรจำเลยเป็นเจ้าของข้ออ้างของโจทก์ไม่มีเหตุผลให้รับฟัง เมื่อที่พิพาทเป็นของบุตรจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกสัญญาเพราะมิได้ลงลายมือชื่อเข้าเป็นคู่สัญญากับโจทก์หรือมอบอำนาจให้จำเลยทำการแทน และโจทก์จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทโดยบุคคลภายนอกมิได้รู้เห็นยินยอมด้วย โจทก์จึงไม่อาจบังคับให้จำเลยโอนที่พิพาทแก่โจทก์ตามสัญญาเพราะสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้กระทำได้ และศาลฎีกากำหนดค่าเสียหายให้แก่โจทก์ใหม่โดยให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ 200,000 บาท
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ เป็นเงิน200,000 บาท

Share