แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สิทธิในการบังคับคดีเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าศาลชั้นต้นบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยไม่ถูกต้องศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิพากษาให้เพิกถอนการบังคับคดีของศาลชั้นต้นเสียได้ สัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลพิพากษาตามยอมระบุว่า หากจำเลยไม่ยอมรื้อถอนเสาคอนกรีตและรั้วกำแพงเหล็กทึบที่สร้างรุกล้ำที่ดินของโจทก์ ทั้งไม่ยอมรื้อถอนสายไฟฟ้าแรงสูงที่ติดตั้งอยู่บนรั้วดังกล่าวให้เสร็จสิ้นเรียบร้อยภายในกำหนดเวลาสองเดือน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์หรือบุคคลที่โจทก์จ้างมีสิทธิเข้าไปรื้อถอนสิ่งก่อสร้างเหล่านั้นได้โดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย และจำเลยยินยอมให้โจทก์บังคับคดีตามคำขอท้ายฟ้องได้ดังนั้น ถ้าจำเลยผิดนัดไม่ยอมรื้อถอนสิ่งก่อสร้างที่จะต้องรื้อถอนให้เสร็จภายในกำหนดสองเดือนนับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความนอกจากโจทก์จะมีสิทธิรื้อถอนสิ่งก่อสร้างนั้นเองหรือจ้างให้บุคคลอื่นเข้าไปรื้อถอนโดยค่าใช้จ่ายของจำเลยแล้ว โจทก์ยังมีสิทธิบังคับคดีตามคำขอท้ายฟ้องโดยโจทก์ไม่จำต้องเข้าไปรื้อถอนหรือจ้างให้บุคคลอื่นเข้าไปรื้อถอนสิ่งก่อสร้างเหล่านั้นก่อนจึงจะขอบังคับคดีได้ เพราะข้อความเกี่ยวกับเรื่องรื้อถอนสิ่งก่อสร้างกับข้อความเกี่ยวกับการที่โจทก์จะขอบังคับคดีตามคำขอท้ายฟ้องเป็นข้อความคนละตอน สามารถแยกใจความคนละส่วนต่างหากจากกันได้ โจทก์ร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีอ้างว่าจำเลยเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลพิพากษาตามยอมซึ่งหมายถึงว่า จำเลยไม่ดำเนินการรื้อถอนเสาคอนกรีต รั้วกำแพงทึบที่สร้างรุกล้ำที่ดินของโจทก์ รวมทั้งไม่ได้รื้อถอนสายไฟฟ้าแรงสูงที่ติดตั้งอยู่บนรั้วดังกล่าวด้วย ศาลอุทธรณ์ย่อมชอบที่จะวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า สิ่งก่อสร้างทั้งหมดจำเลยยังไม่ได้รื้อถอนออกไปจากที่ดินของโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและชอบที่จะยกเอาเหตุผลดังกล่าวประกอบการวินิจฉัยการวินิจฉัยได้ว่าใครเป็นฝ่ายผิดสัญญาอันเป็นดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ หาเป็นการวินิจฉัยคดีนอกฟ้องนอกประเด็นไม่
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นได้พิพากษาไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นระบุว่าจำเลยไม่ได้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ขอบังคับคดีศาลชั้นต้นหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยสองโฉนดจำเลยยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดดังกล่าว (น่าจะหมายถึงเพิกถอนการบังคับคดี) อ้างว่าจำเลยได้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว คงมีเพียงเสาคอนกรีตซึ่งติดอยู่กับผนังอาคารของโจทก์หากจะรื้อถอนต้องอาศัยโจทก์หรือตัวแทนของโจทก์คอยดูแลประสานงานด้วยเพราะจำเลยเกรงว่าอาจจะเกิดความเสียหายแก่ส่วนอื่นของอาคารโจทก์ได้ซึ่งจะเป็นปัญหายุ่งยากในภายหน้าต่อไป แต่จำเลยติดต่อโจทก์ไม่ได้เนื่องจากโจทก์ไม่ได้พักอาศัยอยู่ในอาคารของโจทก์หลังนั้น จำเลยจึงไม่มีเจตนาที่จะไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลชั้นต้นนัดพร้อมแล้วมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยโดยให้เหตุผลว่า จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการบังคับคดีของศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า สิทธิในการบังคับคดีไม่ใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อจำเลยไม่ได้อุทธรณ์ ขอให้เพิกถอนการบังคับคดีของศาลชั้นต้น เพียงแต่จำเลยอุทธรณ์ขอให้ถอนการยึดที่ดินจำนวนสองแปลงของจำเลยตามคำสั่งของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาให้เพิกถอนการบังคับคดีของศาลชั้นต้นไม่ได้นั้น เห็นว่า การที่จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์สั่งถอนการยึดที่ดินจำนวนสองแปลงของจำเลยที่ศาลชั้นต้นสั่งยึดตามคำขอของโจทก์ก็คือการที่จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์สั่งให้ศาลชั้นต้นปล่อยที่ดินจำนวนสองแปลงที่ถูกบังคับคดีตามคำสั่งของศาลชั้นต้น ซึ่งตามความหมายก็คือ การสั่งให้เพิกถอนการบังคับคดีนั่นเอง และสิทธิในการบังคับคดีก็เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าศาลชั้นต้นบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยไม่ถูกต้อง ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิพากษาให้เพิกถอนการบังคับคดีของศาลชั้นต้นเสียได้
ส่วนฎีกาอีกข้อหนึ่งของโจทก์ที่ว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกฟ้องนอกประเด็น โดยฟังว่าโจทก์ไม่ดำเนินการรื้อเสาคอนกรีต รั้วกำแพงเหล็กทึบที่สร้างรุกล้ำที่ดินของโจทก์ รวมทั้งไม่รื้อถอนสายไฟฟ้าแรงสูงที่ติดตั้งอยู่บนรั้วดังกล่าวเสียก่อนก่อนที่จะบังคับคดี จึงเป็นการบังคับคดีผิดขั้นตอนซึ่งความจริงจำเลยได้รื้อถอนรั้วกำแพงเหล็กทึบกับสายไฟฟ้าแรงสูงออกนอกบริเวณที่ดินของโจทก์ไปอยู่ในที่ดินของจำเลยแล้ว คงเหลืออยู่เฉพาะเสาคอนกรีตเพียงอย่างเดียว และในวันที่ 18 มีนาคม 2534 จำเลยก็ได้รื้อถอนเสาคอนกรีตดังกล่าวไป โจทก์จึงไม่มีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2 อีกต่อไป การบังคับคดีของโจทก์จึงไม่ผิดขั้นตอนนั้น เห็นว่า ตามคำร้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2533 โจทก์ร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีอ้างว่าจำเลยเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งก็หมายถึงว่า จำเลยไม่ดำเนินการรื้อถอนเสาคอนกรีต รั้วกำแพงเหล็กทึบที่สร้างรุกล้ำที่ดินของโจทก์ รวมทั้งไม่ได้รื้อถอนสายไฟฟ้าแรงสูงที่ติดตั้งอยู่บนรั้วดังกล่าวด้วย เมื่อคำร้องของโจทก์มีข้อความเช่นนั้น ศาลอุทธรณ์ก็ชอบที่จะวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าสิ่งก่อสร้างทั้งหมดจำเลยยังไม่ได้รื้อถอนออกไปจากที่ดินของโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลอุทธรณ์ชอบที่จะยกเอาเหตุดังกล่าวมาประกอบการวินิจฉัยได้ว่าใครเป็นฝ่ายผิดสัญญา อันเป็นดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์จึงไม่ได้นอกฟ้องนอกประเด็นดังที่โจทก์ฎีกา
สำหรับฎีกาของโจทก์ข้อที่ว่า เมื่อจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ยอมรื้อถอนเสาคอนกรีตและกำแพงเหล็กทึบที่สร้างรุกล้ำที่ดินของโจทก์ทั้งไม่ยอมรื้อถอนสายไฟฟ้าแรงสูงที่ติดตั้งอยู่บนรั้วดังกล่าวให้เสร็จเรียบร้อยภายในกำหนดสองเดือนนับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยที่โจทก์ไม่ได้เป็นผู้รื้อถอนหรือจ้างให้บุคคลอื่นรื้อถอนสิ่งก่อสร้างดังกล่าวตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 2 เสียก่อน โจทก์จะมีสิทธิบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยได้หรือไม่นั้น เห็นว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 2ระบุไว้ชัดเจนว่า หากจำเลยไม่ยอมรื้อถอนเสาคอนกรีตและรั้วกำแพงเหล็กทึบที่สร้างรุกล้ำที่ดินของโจทก์ ทั้งไม่ยอมรื้อถอนสายไฟฟ้าแรงสูงที่ติดตั้งอยู่บนรั้วดังกล่าวให้เสร็จสิ้นเรียบร้อยภายในกำหนดเวลาสองเดือนนับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์หรือบุคคลที่โจทก์จ้างมีสิทธิเข้าไปรื้อถอนสิ่งก่อสร้างเหล่านั้นได้โดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย และจำเลยยินยอมให้โจทก์บังคับคดีตามคำขอท้ายฟ้องได้ โดยสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 2 นี้จะเห็นได้ว่า ถ้าจำเลยผิดนัดไม่ยอมรื้อถอนสิ่งก่อสร้างที่จะต้องรื้อถอนให้เสร็จภายในกำหนดสองเดือนนับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความนอกจากโจทก์จะมีสิทธิรื้อถอนสิ่งก่อสร้างนั้นเองหรือจ้างให้บุคคลอื่นเข้าไปรื้อถอนโดยค่าใช้จ่ายของจำเลยแล้ว โจทก์ยังมีสิทธิบังคับคดีตามคำขอท้ายฟ้อง กล่าวคือขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าทดแทนและค่าเสียหายเดือนละ 20,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนสิ่งก่อสร้างเหล่านั้นเสร็จได้อีกด้วยโจทก์ไม่จำต้องเข้าไปรื้อถอนหรือจ้างให้บุคคลอื่นเข้าไปรื้อถอนสิ่งก่อสร้างเหล่านั้นเสียก่อนจึงจะขอบังคับคดีได้ เพราะข้อความเกี่ยวกับเรื่องรื้อถอนสิ่งก่อสร้างกับข้อความเกี่ยวกับการขอบังคับคดีตามคำขอท้ายฟ้องเป็นข้อความคนละตอน สามารถแยกใจความคนละส่วนต่างหากจากกันได้ เมื่อข้อเท็จจริงรับกันตามฎีกาและคำแก้ฎีกาว่า หลังจากทำสัญญาประนีประนอมยอมความเมื่อวันที่13 กันยายน 2533 แล้ว จำเลยได้รื้อถอนรั้วกำแพงเหล็กทึบกับรื้อถอนสายไฟฟ้าแรงสูงที่ติดตั้งอยู่บนรั้วดังกล่าวไปก่อสร้างและติดตั้งอยู่นอกที่ดินของโจทก์แล้ว คงมีเพียงเสาคอนกรีตอย่างเดียวที่จำเลยเพิ่งจะรื้อถอนออกไปเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2534 โดยข้อเท็จจริงที่ว่านี้ก็ต้องถือว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความที่ไม่ยอมรื้อถอนเสาคอนกรีตออกจากที่ดินของโจทก์ภายในกำหนดสองเดือนนับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ กล่าวคือจำเลยได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ ตั้งแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน 2533 อันเป็นวันพ้นกำหนดสองเดือนดังกล่าว ย่อมทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยจึงต้องรับผิดในความเสียหายตามคำขอท้ายฟ้อง ดังที่ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ นับตั้งแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน 2533 ไปจนถึงวันที่ 18 มีนาคม 2534 อันเป็นวันที่จำเลยได้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความครบถ้วน ดังนี้โจทก์จึงชอบที่จะร้องขอต่อศาลชั้นต้นให้บังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยได้
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำสั่งศาลชั้นต้น